วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

แตะขอบฟ้าหน้าฝน ที่ดอยอินทนนท์

แตะขอบฟ้าหน้าฝน ที่ดอยอินทนนท์

       ผมเชื่อว่าหลายต่อหลายคน พอพูดถึงหน้าฝนแทบจะไม่อยากเดินทางไปไหน ถึงแม้ว่าจะออกไปเที่ยวก็ตาม แต่สำหรับผม หน้าฝนคือช่วงที่น่าเที่ยวมากที่สุด ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง ตั้งแต่เรื่องอากาศที่เย็นชุ่มชื่น มองไปทางไหนระหว่างเดินทางก็เขียวขจี เย็นสบายตา ไม่ต้องแย่งกิน แย่งเที่ยว แย่งพัก 



       เมื่อเห็นข้อดีแบบนี้ก็ถึงเวลาที่จะเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแล้วออกเดินทาง ซึ่งทริปนี้คือ อุทยานเเห่งชาติดอยอินทนนท์ จากความสงสัยที่ว่า หน้าฝน บนดอยสูง ฝนจะตกไหม ว่าแล้วก็ไปพร้อมกันเลยครับ

นาขั้นบันไดบ้านแม่กลางหลวง

       หลังจากขับรถออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ ก็มุ่งหน้าสู่อำเภอจอมทอง จากนั้นก็ขับตรงขึ้นอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ หลังจากที่ผ่านด่านของอุทยานก็ต้องชำระค่าธรรมเนียมการเข้าอุทยานซึ่งคิดเป็นจำนวนคนและประเภทรถที่นำเข้า เมื่อขับตามทางมาไม่นานนัก ก็ต้องขอแวะเสพบรรยากาศของนาขั้นบันได ที่บ้านแม่กลางหลวง แต่ว่าไม่ได้ลงไปที่หมู่บ้าน เนื่องจากเป้าหมายจริงๆอยู่ที่ยอดดอยอินทนนท์ ซึ่งตอนนั้นเวลาประมาณ บ่ายโมง 

นาขั้นบันไดบ้านแม่กลางหลวง

แวะถ่ายรูป


       เมื่อเดินทางออกมาหลังจากแวะถ่ายรูปที่แม่กลางหลวงก็ขับรถตามทางมาเรื่อยๆ ทางระหว่างขึ้นดอยลาดชันเพราะฉะนั้นต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่ค่อนข้างมาก ที่สำคัญต้องใช้เกียร์ต่ำทั้งขึ้นและลง 
ถึงยอดดอยอินทนนท์
    ขับรถเปิดกระจกสัมผัสอากาศเย็นได้ไม่นานนัก ก็ถึงยอดดอยเป็นที่เรียบร้อย ลมด้านบนแรงมากบวกกับอากาศที่เย็นทำให้สดชื่นมากเลยทีเดียว ตลอดเวลาที่อยู่บนดอยไม่เจอฝนเลยครับ แต่ที่เจอคือเมฆวิ่งผ่านตัว

จุดหมุดกรมแผนที่ทหาร หลักฐานยืนยันสูงสุดแดนสยาม

หมุดกรมแผนที่ทหาร

ด้วยความที่เป็นหน้าฝนคนเที่ยวน้อย มอสเลยได้มีโอกาสแทรกตัวตามพื้น

ดอกไม้บนดอย

ดอกไม้บนดอย

ชอบมุมนี้ เหมือนอุโมงค์ต้นไม้

สูงสุดแดนสยาม

      


       ความสวยงามของการเที่ยวหน้าฝน กับอากาศที่สดชื่น ผู้คนน้อยไม่วุ่นวาย ทำให้ได้ภาพบรรยากาศที่ไม่ค่อยมีคน ได้ภาพบรรยากาศที่สบายตาโดยไม่ต้องรอจังหวะมากมายนัก












เกือบได้แตะขอบฟ้า ที่แน่ๆคือมาเหนือเมฆ



      ขาลงดอยขอแวะเที่ยวชมวิวอีกสักนิด เพราะต้องขอบอกเลยว่าหลงใหลกับอากาศเย็นบนดอยมาก

















     ขาลงพอขับรถมาเรื่อยๆ เลยตลาดแม้วข้างทางมานิดหน่อย มองไปเห็นต้นพลับที่มีลูกเต็มต้น เลยแวะซื้อชิมสักหน่อย ราคาสบายๆถุงละ25-30บาทแบบปลอกเปลือกและหั่น ส่วนถ้าจะซื้อถุงใหญ่เป็น 5-10 กิโลก็มีขายเช่นกัน

สาลี่ดอย

ต้นพลับ

ลูกพลับสดจากต้น

       สรุปการเดินทางเที่ยวดอยอินทนนท์หน้าฝน ผมว่าอากาศดีและคนน้อย ได้เห็นมุมที่แตกต่างจากที่เราเคยเห็นในหน้าหนาว ถ้ามีโอกาสผมอยากให้ลองไปเที่ยวดอยอินทนนท์หน้าฝนสักครั้ง แล้วจะชอบแน่นอน





วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557

Roaring Currents ยีซุนชิน ขุนพลคลื่นคำราม

มหากาพย์ภาพยนตร์เกาหลี ทุ่มทุนสร้างกว่า 300 ล้านบาท เปิดฉากสงครามบนท้องทะเลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี 2014
“Roaring Currents  ยีซุนชิน ขุนพลคลื่นคำราม”




ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ชาติเกาหลี ที่ทำรายได้ทล่มทลาย ประชาชนแห่โหมเข้าชมภาพยนตร์ กันทั่วทั้งประเทศ สร้างจากเหตุการณ์จริงที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์เมื่อปี ค.ศ. 1597 ของ พลเรือเอกยีซุนชิน (รับบทโดย ชอยมินซิก จาก Oldboy) ผู้นำเรือรบสัญชาติเกาหลีที่มีเพียง 12 ลำ แต่สามารถเอาชนะ พลเรือเอกโทโดะ กับกองทัพเรือญี่ปุ่นที่มีแสนยานุภาพกว่า 330 ลำ ด้วยการวางแผนและการอ่านทิศทางลม จนกลายเป็นกลยุทธที่ถูกนำมาใช้เพื่อศึกษาจนถึงปัจจุบัน
ชอยมินซิก เป็น แม่ทัพยีซุนชินเขาคือทหารที่เก่งทั้งการวางแผนและมีความกล้าหาญได้ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของกองทัพเรือโจซอน (เกาหลีในปัจจุบัน) แต่หลังจากความขัดแย้งกับเบื้องบน ก็ทำให้เขาถูกปลดจากตำแหน่งและสูญเสียอำนาจไป ยีซุนชิน ต้องทนดูกองทัพเรือโจซอนที่นำโดยขุนพลที่ไร้ประสบบการณ์และความกล้า ถูกทำลายด้วยน้ำมือของกองทัพเรือที่ทรงอานุภาพของญี่ปุ่น ด้วยความตั้งใจที่ต้องการรักษาบ้านเมืองตัวเองไว้ ยีซุนชิน ก็ได้นำเรือรบ 12 ลำสุดท้ายในกองทัพ เผชิญหน้ากับเรือรบ 330 ของญี่ปุ่นที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาทางช่องแคบเมียงยอง
ชอยมินซิก นักแสดงจาก Lucy พูดถึงการเข้ามารับบทนำในหนังเรื่องนี้ว่า “ชีวิตของ นายพลยีซุนชิน เคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วเมื่อ 40 ปีที่แล้ว และผมก็เคยดูมันในวัยเด็ก และรู้สึกว่านี่แหละคือฮีโร่ของชาวเกาหลีใต้ที่มีตัวตนจริง ผมคิดว่าการได้มารับบทเป็นเขาถือเป็นเกียรติอันสูงสุด และผมก็อยากให้เด็กรุ่นใหม่ได้รับรู้ถึงวีรกรรมของเขา”

Roaring Currents  ยีซุนชิน ขุนพลคลื่นคำราม

Roaring Currents  ยีซุนชิน ขุนพลคลื่นคำราม

Roaring Currents  ยีซุนชิน ขุนพลคลื่นคำราม

Roaring Currents  ยีซุนชิน ขุนพลคลื่นคำราม

Roaring Currents  ยีซุนชิน ขุนพลคลื่นคำราม

มัลดีฟส์ ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไป

มัลดีฟส์ ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไป


 


เชื่อเถอะครับว่า “มัลดีฟส์” คือจุดหมายหนึ่งของนักเดินทางที่หลงรักทะเล เพราะหลายต่อหลายสื่อ หลายต่อหลายคน มักพูดว่า ต้องขอไปมัลดีฟส์ให้ได้ก่อนตาย จากภาพที่ถูกถ่ายทอดออกมาสู่สายตาเรา ต้องยอมรับว่า มัลดีฟส์สวยมากจริงๆ




ครั้งนี้เป็นโอกาสของผมที่จะได้เดินทางไปยังแห่งที่ใครต่อใครฝันว่าจะได้ไป และทริปนี้ 4วัน3คืน แบบเต็มอิ่มแน่นอน

การเดินทางของผมเริ่มต้นตั้งแต่การเดินทางออกจากที่พัก 7โมงเช้า เพื่อหนีรถติดและมุ่งหน้าตรงสู่ “ท่าอากาศยานนานานชาติสุวรรณภูมิ” ทำการเช็คอินโหลดกระเป๋าเดินทางด้วยสายการบิน “บางกอกแอร์เวย์” ต้องยอมรับครับว่าก่อนที่จะจองตั๋วเครื่องบินก็คิดอยู่นานเช่นกันว่าจะเดินทางด้วยสายการบินอะไรดี เพราะว่ายังมีสายการบิน “ศรีลังกาแอร์ไลน์” อีกหนึ่งสายการบิน ที่ราคาตั๋วถูกกว่ากันมากแต่ใช้เวลาเดินทางเยอะกว่าและต้องต่อเครื่อง สุดท้ายไม่อยากนั่งเครื่องนานก็เลยเดินทางด้วยบางกอกแอร์เวย์



หลังจากเช็คอินที่เค้าเตอร์เป็นที่เรียบร้อย ก็เข้าสู่ขั้นตอนการตรวจคนออกเมือง ซึ่งก่อนมาถึงตรงนี้จะต้องผ่านเจ้าหน้าที่ ที่ขอดูบัตรโดยสารเครื่องบินและพาสปอร์ตก่อน ตามด้วยการสแกนวัตถุอันตราย

การตรวจคนขาออกของประเทศไทยที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีช่องสำหรับคนไทยโดยเฉพาะ มีทั้งระบบอิเล็กโทรนิคและแบบเจ้าหน้าที่ตรวจ ทำให้การตรวจคนออกเมืองค่อนข้างเร็วและอีกอย่างการเดินทางในช่วงเวลา ประมาณ 8-9 โมงคนไม่ค่อยมากเลยสบายๆมีเวลาในสนามบินอีกมาก

เมื่อผ่านทุกขั้นตอนเรียบร้อยก็เดินตรงมุ่งหน้าไปที่ Lounge ของบางกอกแอร์เวย์(Boutique Lounge) หาขนมว่าง ชากาแฟรองท้องเบาๆ ก่อนเข้าใช้บริการต้องแสดงบัตรโดยสารของสายการบินด้วยซึ่งพนักงานก็จะให้ Password Internet มาด้วยเช่นกัน




ด้านในมีหลายอย่างทั้งบราวนี่ ขนมปัง แซนวิช หรือของขึ้นชื่อที่ล่ำลือว่าอร่อยมาก อย่างข้าวต้มมัด มุมกาแฟมีให้เลือกทั้งแบบ 3in1หรือแบบกาแฟสด รวมถึงน้ำผลไม้ น้ำเปล่า เลยลองชิมอย่างละชิ้นสองชิน




เมื่อได้เวลาก็เดินไปที่ Gate เพื่อรอเรียกขึ้นเครื่อง จุดนี้มีการตรวจเช็คผู้โดยสารอีกครั้งด้วยการขอดูหนังสือเดินทางและตั๋วเครื่องบิน
เครื่องบินที่พาผมเดินทางไปยังสนามบิน “อิบราฮิม นาเซอร์” เป็นเครื่องบินลำขนาดกลางๆไม่ใหญ่ มีที่นั้งแถวละ 6คน ฝั่งละ 3ที่นั่ง มีที่ให้พอยืดขากับการบินประมาณ 3ชั่วโมงครึ่ง




เมื่อเครื่องขึ้นสู่เพดานบิน พนักงานก็เริ่มต้นด้วยการแจกขนมกรุบกรอบ ตามด้วยเครื่องดื่ม ที่มีพร้อม ชากาแฟ น้ำอัดลม แอลกอฮอล์ และอาหาร ซึ่งที่ชอบมากคือ การให้ช้อนที่เป็นโลหะ ต่างจากบางสายการบินที่เป็นช้อนพลาสติก และในส่วนของเครื่องดื่มสามารถรับบริการได้ตลอดเส้นทาง




เมื่อใกล้ถึง “สนามบินอิบราฮิม นาเซอร์” ก็ต้องขอเปิดหน้าต่างดูสักนิดและสมใจกับวิวที่ได้เห็น หมู่เกาะมากมายที่รายล้อมท่ามกลางทะเล เป็นสีฟ้าอ่อนสวยงาม




เมื่อเครื่องลงถึง “ท่าอากาศยานนานาชาติ อิบราฮิม นาเซอร์” ที่รู้จักในนามของ “ท่าอากาศยานนานาชาติมาเล” เป็นท่าอากาศยานหลัก ของ ประเทศมัลดีฟส์  ตั้งอยู่บน เกาะฮุลฮูเลล ทางตอนเหนือของ อะทอลล์มาเลใกล้กับเมืองหลวง กรุงมาเล  เป็นสนามบินที่ขนาดไม่ใหญ่แต่ติดกับทะเลเพราะเป็นเกาะและยังสามารถมองเห็นเมืองมาเลได้

สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ห้ามนำเข้าประเทศมัลดีฟส์โดยเด็ดขาดคือ อาหารที่ทำจากหมูเพราะประชากรแทบจะทั้งหมดของมัลดีฟส์นับถือศาสนาอิสลาม

หลังจากที่รับกระเป๋าเดินทางเป็นที่เรียบร้อยก็เดินออกจากห้องผู้โดยสาร ระหว่างทางออกจะมีโรงแรมรีสอร์ทมายืนถือป้ายเพื่อรอรับแขกที่ได้ทำการจองห้องพักไว้และผมก็เจอ “คลับเมดคานิ” เลยเเสดงตัวให้รู้ว่าเรามาแล้วและขอตัวไปซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์เพื่อไม่ให้พลาดการติดต่อบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีผู้ให้บริการอยู่ด้านหน้าสนามบิน



ซิมการ์ดโทรศัพท์แบ่งตามประเภทว่าใช้กับโทรศัพท์หรือใช้กับโน้ตบุ๊ค ราคาอยู่ที่ประมาณ 11 US ขึ้นอยู่กับปริมาณการรับส่งข้อมูลที่เราต้องการของบริการ 3G แต่จะมีค่าซิมการ์ดอีก 3 US รวมเป็น  ส่วนของผมหมดเงินค่าซิมการ์ดไปทั้งหมด 14 US เมื่อเปลี่ยนซิมเสร็จก็เริ่มสู่ระบบโซเชียลมีเดียร์ตามปรกติ

หลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อยได้ใช้อินเตอร์เน็ตสมใจก็ไปจุดนัดหมายของคลับเมด เจ้าหน้าที่ก็ทำการเช็คชื่อผูกแท็กกระเป๋าหมายเลขห้อง และผูกข้อมือด้วยริบบิ้นสีม่วงมีโลโก้คลับเมด ซึ่งผู้เฉพาะคนที่พัก “lagoon suite” เท่านั้น



จากนั้นทำการเขียนชื่อ ข้อมูลลงทะเบียนในแบบฟอร์ม การติดต่อเพราะก่อนหน้านี้ยังไม่เคยสมัครเป็นสมาชิกของคลับเมด เพื่อหลังจากที่เรากลับจะมีการส่งเมลล์ข้อมูลมาสอบถามถึงความพึงพอใจอีกครั้งพร้อมส่งข้อมูลโปรโมชั่นของคลับเมดในแต่ละที่มาให้เราด้วยเช่นกัน

เมื่อทุกคนพร้อมก็ลากกระเป๋าไปที่เรือซึ่งอยู่ไม่ไกล ประมาณ 50เมตร แค่เห็นน้ำที่ท่าเรือก็ต้องอมยิ้มเพราะว่าน้ำใสมาก เรือที่ผมต้องนั่งไปคลับเมดคานิ ด้านหน้าจะกันน้ำอย่างมิดชิด ทีแรกก็สงสัยว่าเพราะอะไรถึงปิดขนาดนั้น แต่พอเรือออกได้ไม่เกิน 5นาทีก็เข้าใจ เพราะว่าคลื่นแรงมาก หัวเรือแหวกน้ำกระเซ็นสาดผ่าเกลียวคลื่นเรือเหินทะยานแต่ก็สนุกดี เพราะในประเทศไทยไม่ค่อยได้เจอคลื่นแบบนี้



 



หลังจากที่นั่งเรือผ่านเกาะต่างๆมาประมาณ 30 นาทีก็ถึงที่หมาย “คลับเมดคานิ” มีพนักงานหลายคนมารอต้อนรับ รวมถึง GO คนไทย ที่จะคอยดูแลต้อนรับแนะนำตลอดที่เราอยู่ในรีสอร์ท ซึ่งวันแรกที่ผมได้เจอคือ GO อ๊อฟ ที่ทำการพาเดินทัวร์แนะนะส่วนต่างๆของคลับเมดและพาเดินไปส่งถึงห้องพัก แค่ส่งยังไม่พอ ยังแนะนำส่วนต่างๆของห้องพักให้ผมอีกด้วย


    คลับเมดคานิ แบ่งที่พักออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนของห้องซูพีเรีย  ส่วนบีชวิลล่า และลากูนสูท แต่ความพิเศษอยู่ที่โซนของลากูนสูท ที่ผู้เข้าพักส่วนอื่นไม่สามารถเข้ามาได้ กับการให้บริการที่ถือว่าเป็น  Luxury 5 Star  


ผมขอเน้นเรื่องราวของ ลากูนสูทหรือลากูนสวีท ที่เรามักเรียกกัน เพราะว่าเป็นสถานที่ที่ผมได้ทำการพักผ่อนจริง ส่วนห้องบีชวิลล่าและซูพีเรียก็จะมีข้อมูลตามที่ได้เห็นเพียงผ่านๆ ซึ่งซูพีเรียจะอยู่คนละฝั่งกับบีชวิลล่าและลากูนสูท เป็นตึก2ชั้นที่แฝงตัวตามต้นไม้ ในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานเช่นผ้าเช็ดตัวตู้เย็นขนาดเล็กและห้องบีชวิลล่าจะอยู่ใกล้หาด เดินประมาณ 20 ก้าวถึงชายหาด ห้องพักจะแบ่งเป็นสัดส่วนของโซนแต่ที่ต่างส่วนมากก็เป็นที่ตั้งของห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวกในห้อง ส่วนในเรื่องของอาหารแล้วเครื่องดื่มไม่มีอั้น แค่ไปให้ถูกห้องอาหารและถูกบาร์เท่านั้น


    มาที่ส่วนของลากูนสูทที่ค้างไว้เมื่อเดินหลุดพ้นจากโซนของบีชวิลล่าจะเป็นโซนของลากูนสูท มีซุ้มต้นเสาสูงตั้งเด่นประหนึ่งจะบอกในในว่าโซนนี้คือโซนพิเศษ เมื่อน้อง GO พามาถึงจุดนี้ก็ได้ให้นั่งพักและนำเครื่องดื่มต้อนรับมาให้ เป็นน้ำส้มและทำการให้การ์ดห้องและอธิบายส่วนต่างๆทั้งในเรื่องของกิจกรรมภายในโซนและกิจกรรมของรีสอร์ท แต่ตอนนี้ขอบอกถึงในโซนลากูนก่อนครับ


    เมื่อลุกขึ้นเดินต่อโดยมี GO ไทยเดินให้คำแนะนำสถานที่ จากจุดแรกเดินมาเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงจุดที่เรียกได้ว่าเป็นแลนด์มาร์คของคลับเมดคานิ ที่มีภาพถ่ายสวยๆกับเบาะสีส้มหรือเปลตาข่ายกลางน้ำ จุดนี้คือ Manta Lounge ที่มีไว้บริการเฉพาะผู้ที่เข้าพักห้องลากูน จุดนี้จะมีตั้งได้ Wi-Fi เครื่องดื่ม ซอฟดริ้ง ค็อกเทล วิสกี้ บรั่นดี ไวน์ ส่วนแชมเปนส์จะบริการช่วง 19.00-22.00น. โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

    แวะดื่มค็อกเท็ลไป 1 แก้วก็เดินต่อไปยังห้องพัก 119 ซึ่งถ้าใครเป็นภาพถ่ายมุมสูงของคลับเมดคานิจะเป็นเป็นต้นตาล ห้องพักของผมก็อยู่ที่ปลายต้นตาลครับ ระหว่างทางเดินจะเป็นทางเดินไม้ มองลงไปในทะเลน้ำใสมาก เดินเพลินๆถึงหน้าห้อง GO เอาคีย์การ์ดทำการเปิดประตูให้และเสียบเพื่อกระแสไฟในห้องทำงานและสุดท้ายการ์ดใบนั้นเขาก็เสียบให้ตลอด 4 วัน 3 คืน 


วนกลับมาที่ห้องต่อครับ เมื่อเปิดประตูห้องด้านขวามือจะเป็นส่วนของชั้นวางของเล็กๆ ด้านขวามือจะเป็นโต๊ะรับแขก ทานอาหารซึ่งมีผลไม้ต้อนรับและแชมเปนส์ใส่ในถังชิลเลอร์พร้อมแก้ว ถัดไปมีประตูที่สามารถอกได้ 2 ทางคือ ห้องนอนและระเบียง


เมื่อเข้าผ่านห้องนอนก็จะเห็นเตียงถูกปูด้วยผ้าสีขาวห่มด้วยผ้านวม มีมุ้งตกแต่งแบบเก๋ๆ ปลายเตียงมีที่สำหรับวางของและหนังสือต้อนรับ หันหลังให้เตียงจะเป็นระเบียงที่มีเพียงประตูกระจกกั้น สามารถเปิดได้กว้างเพื่อเสพอากาศบนเตียงนอนหรือจะออกไปนั่งเล่นที่เตียงด้านนอกก็ได้


ห้องข้างเตียงนอนเป็นห้องเสื้อผ้าและตู้บาร์ มีตั้งแต่มาม่า ชา กาแฟ น้ำอัดลม แต่ที่ชอบมากที่สุดคือมีเครื่องทำกาแฟแคปซูน พร้อมแคปซูนอีก 8 อัน ถ้าทานหมดของทุกอย่างสามารถขอเพิ่มได้ ยกเว้นแต่แชมเปนส์เท่านั้น ที่ห้องเสื้อผ้าจะมีเตารีด ตู้เซฟ เสื้อชูชีพ ไม้แขวนเสื้อ รองเท้า ถุงสำหรับผ้าเปียก ร่ม ไฟฉาย


ส่วนอีกฝั่งของเตียงนอนเป็นห้องน้ำ เมื่อปิดประตูเข้าไปจะเห็นกระจก อ่างล้างหน้าและอุปกรณ์ในห้องน้ำวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ ด้านขวามือเป็นอ่างอาบน้ำที่สามารถมองเห็นทะเลได้ มีม่านสามารถเปิดปิดได้แบบไม่บังวิวแม้แต่นิดเดียว ส่วนทางด้านซ้ายมือคือห้องน้ำและห้องอาบน้ำ




เรื่องของสิ่งอำนวยตวามสะดวกต้องบอกว่ามีครบทุกอย่างแม้กระทั่งปลั๊กแปลงไฟ แต่อีกหนึ่งของความพิเศษคือการที่เราสามารถเรียกรับบริการได้ 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นน้ำแข็งหรืออื่นๆ และหากไม่อยากออกไปทานอาหารเช้าก็จะมีใบให้กรอกว่าต้องการทานอะไร ที่สามารถระบุเวลาให้มาส่งได้แต่ต้องน้ำใบไปเสียบที่หน้าห้องก่อนตี 2 วันรุ่งขึ้นก็จะมีอาหารมาส่งตามเวลาและความน่ารักอีกอย่างคือ จะมีช็อกโกแล็ต มาวางไว้ให้ก่อนนอนทุกคืน
สิ่งหนึ่งที่ต้องทำเวลามานอนที่ลากูนสูทคือ เล่นน้ำหน้าห้องตัวเองและผมก็ไม่พลาดเช่นกัน กระโดดน้ำเล่นอย่างสะใจ แต่กระแสน้ำค่อนข้างแรง


ครับเลยเหนื่อยกับการว่ายน้ำค่อนข้างมาก แต่ก็สนุกครับ น้ำใสมาก ยิ่งถ้าตื่นมาช่วงเช้าจะได้เห็นปลาว่ายน้ำมาถึงหน้าห้อง สารพัดชนิด จิบกาแฟอีกหน่อย บอกเลยครับว่าเพลินมาก


กิจกรรมของคลับเมดมีอะไรบ้าง หลายคนคงอยากรู้ เริ่มตั้งแต่ตอนเช้าเลยแล้วกันครับ ตั้งแต่เช้าก่อน 9 โมง เราสามารถเล่นฟิตเนสที่ห้องริมหาด เล่นไปชมวิวไป จากนั้นต่อด้วย การทดสอบว่ายน้ำ 50 เมตร เพื่อออกไปดำน้ำยังจุดที่เรือของคลับเมดพาไป กลับมาช่วงบ่ายกินข้าว ตามด้วยแช่น้ำในสระจิบเครื่องดื่มเย็นๆหรือจะเล่นกีฬาชายหาด พายเรือคายัก ตกเย็นมีกิจกรรมที่ถูกเปลี่ยนไปในแต่ละวันให้ร่วมสนุกจนถึงเวลาเที่ยงคืน เรียกง่ายๆว่าแน่นครับ กับกิจกรรมที่ คลับเมดเตรียมไว้


เรื่องของอาหารการกิน หลักๆแล้วมีห้องอาหารอยู่ 2 ห้องหลัก ห้องแรก “The Velhi” เป็นทั้งห้องอาหารเช้า กลางวัน เย็น แบบบุฟเฟ่ต์ ซึ่งอาหารจะเปลี่ยนไปในแต่ละวัน จะมีเพียงสลัดบาร์ ชีส ผลไม้ที่ไม่ได้เปลี่ยนตาม เนื่องจากที่เป็นห้องอาหารหลัก ทำให้คนมาทานค่อนข้างมาก อาจมีความวุ่นวายเล็กน้อย แต่โดยส่วนตัวชอบหนีไปทานที่ 


“The Kandu” ห้องอาหารขนาดกะทัดรัด  เสิร์ฟเมนูแบบอะลาคาร์ต มีตั้งแต่ซุป เมนคอร์ท อาหารหวาน เครื่องดื่ม คนน้อยนั่งทานสบายใจ ดูคลื่น ดูฉลาม โดยที่ไม่ต้องไปแย่งคนอื่นแต่ห้องอาหารนี้จะเปิดช่วง บ่าย2 แต่ถ้าหากอยากนั่งทานมื้อเย็นต้องจองล่วงหน้า 1 วัน 

นอกจากห้องอาหารยังมีส่วนของบาร์ 3 บาร์ คือ “Sunset Beach Bar”  บาร์บรรยากาศสบายๆ ตั้งอยู่ริมหาดและใกล้กับสระว่ายน้ำของรีสอร์ท  สามารถไปให้บริการได้ตลอดวัน  


“Lru Bar” บาร์ใหญ่เหนือลากูน จุดศุนย์กลางของกิจกรรมช่วงหัวค่ำ จุดนี้จะมีโรงละครคลับเมด ที่รวบรวมโชว์ การแสดงที่ให้ความบันเทิง และยังมีจุดที่ให้เราร่วมสนุกได้โดยการเต้น เรียกได้ว่ามาจุดนี้สนุกแน่ จุดสุดท้ายที่เด็ดสุด


“Manta Lounge”  เลานจ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ จุดเช็กอิน-เช็กเอาต์ของผู้ที่เข้าพักใน Lagoon Suite  พร้อมบาร์เครื่องดื่มที่ให้บริการตลอดเกือบทั้งวันแบบชนิดที่เรียกได้ว่าสารพัดเครื่องดื่ม นอกจากนี้ยังมีบริการฟรี  Wi-Fi และมุมอ่านหนังสือที่เป็นเหมือนแลนด์มาร์คคือตะข่ายที่ยื่นออกไปในน้ำกับเบาะสีส้ม จุนี้ช่วงเย็นถึงค่ำเหมาะมากกับการนอนชิลดูดาว


จากการเดินทางทริปนี้ 4 วัน 3 คืน ที่เริ่มต้นด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์แบบบินตรง ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกับห้องพัก ลากูนสูท คลับเมดคานิ ต้องบอกเลยว่าเป็นทริปที่เพอร์เฟ็กต์ที่สุด เพราะได้รับความสะดวกสบายตลอดการเดินทางและพักผ่อน สมกับคำที่ว่า “มัลดีฟส์ ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไป”