แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อุทยานแห่งชาติ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อุทยานแห่งชาติ แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2559

พิชิตยอดเขากำแพง ดินแดนเขาโบราณ




พิชิตยอดเขากำแพง ดินแดนเขาโบราณ ป่านอกกระแสที่ต้องไปพิชิต

Mr.Meesookde รายงานตัวครับผม ทริปนี้เป็นทริปเดินป่าอีกแล้วครับ เป้าหมายคือ การพิชิตยอดเขากำแพง อุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ จ.กาญจนบุรี 







เขากำแพง เป็นป่านอกกระแสที่เพิ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวได้พิชิต ความสูงประมาณ 1,210 เมตร การเดินป่าเขากำแพงต้องติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อนำทางเท่านั้น(ติดต่อจองล่วงหน้า)

  


หลังจากที่ได้มื้อเช้ามารองท้องแล้วเตรียมมื้อกลางวันระหว่างทางเรียบร้อย ก็ต้องไปที่สำนักงานเพื่อติดต่ออีกครั้งซึ่งทั้งเจ้าหน้าที่นำทางเราต้องแจ้งไว้ก่อนล่วงหน้าตั้งแต่จอง ครั้งนี้ผมเดินทาง 3 คน ใช้เจ้าหน้าที่นำทาง 1 คนและลูกหาบ 1 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่อุทยาน


การไปพิชิตยอดเขากำแพงมี 2 วิธี คือ นั่งรถไปลงเชิงเขาโบราณแล้วเดินเท้าประมาณ 8 กิโลเมตร กับ เดินเท้าตั้งแต่อุทยาน ระยะทางประมาณ 11กิโลเมตร แต่การเดินจากอุทยานทางจะไม่ซ้ำใคร เป็นการเปิดเส้นทางเดินใหม่เพื่อไปเชื่อมเส้นทางหลังที่เขาโบราณ  ส่วน Mr.Meesookde ขอเดินแบบเต็มๆตั้งแต่อุทยานครับ 

หลังจากที่จัดการแบ่งสัมภาระเพื่อการแบกเรียบร้อย ผมและเจ้าหน้าที่ก็คุยกันถึงเส้นทางที่เราจะเดินเท้า พี่เจ้าหน้าที่ (พี่วิบูลย์และน้องเบนซ์) บอกว่าจะเดินตามทางรถไปก่อนหรือว่าจะลุยป่าไปเลย ถ้าเดินตามทางรถก็ 3 กิโลเมตร ถ้าลุยเลยก็อาจจะสั้นกว่าและยังไม่มีนักท่องเที่ยวเคยเดินด้วย ทันได้นั้นผมก็บอกกับ เจ้าหน้าที่ไปว่า ไปครับพี่ อยากลุย








กลุ่มเราเดินขึ้นจากทางด้านลานจอดรถ ตัดขึ้นป่าไผ่ แค่ทางขึ้นก็เริ่มมีการฟันกิ่งไม้เบิกทางแล้วครับ แถมทางเข้าเป็นเนินขึ้น จากไผ่ต้นใหญ่ก็มาเป็นป่าไผ่ลวกต้นเล็กที่สูงท่วมหัว แบบชนิดที่ว่าเดินห่างกันสามสี่ก้าวก็มองไม่เห็นกันแล้ว อ่อลืมบอกไปครับว่า ทริปนี้มีหมาเจ้าถิ่นขอติดตามมาด้วย ชื่อเจ้าเผือกและเจ้าแดงครับ เจ้าเผือกเดินขึ้นหลายครั้งแต่เจ้าแดงเป็นการเดินขึ้นครั้งแรก






เราเดินผ่านป่าไผ่ไปจนถึงเขาโบราณ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ระหว่างทางเดินเจอรอยเท้าและที่นอนของเลียงผา หมูป่า เกือบตลอดทาง พอถึงทางเดินปรกติที่เขาโบราณ จะมีป้ายข้อมูลซึ่งเป็นที่มาของชื่อเขา เนื่องจากยอดเขาแห่งนี้มีการขุดค้นพบโครงกระดูกและข้าวของเครื่องใช้เครื่องประดับโบราณจำนวนมากนั่นเองครับ 




จากยอดเขาโบราณเราต้องเดินไปที่ธารน้ำซึ่งเป็นจุดพักใหญ่ที่จะต้องเติมพลังมื้อเที่ยง บริเวณจุดนี้มีห้องน้ำด้วยนะครับ เหตุที่ต้องพักตรงนี้นานเนื่องจากทางข้างหน้าจะเป็นทางเดินขึ้นเขาตามป่าไผ่ที่มีความชัน หรือที่เจ้าหน้าที่เรียกว่า เนินสามก้าว คือเดินสามก้าวแล้วพักสลับกันไป 


หลังจากการพักเพื่อกินมื้อเที่ยง ต่อจากนี้ก็ลุยกันยาวๆกับทางชันๆ ขอบอกว่าชันยาวเป็นกิโลเมตร ใช้เวลาเดินเป็นชั่วโมงและยุงเยอะมาก กว่าจะพ้นเนินสามก้าวทำเอาหมดแรงเลยทีเดียวและเมื่อพ้นเนินสามเก้าเราต้องเดินไปบนสันเขาที่มีหญ้าคาคมๆคอยบาดเรา เพราะฉะนั้นเสื้อผ้าที่ใส่ควรเป็นเสื้อแขนยาว กางเกงขายาวและรองเท้าที่ยึดเกาะดีดอกใหญ่หรือจะใช้ รองเท้าสตั๊ดดอย ก็ได้เพราะราคาไม่แพง







เราใช้เวลาเดินประมาณ 7 ชั่วโมงนิดๆก็มาถึงที่หมายจุดกางเต้นท์ จริงๆแล้วที่ยอดเขากำแพงสามารถผูกเปลนอนได้ด้วย เวลาใกล้มืดเข้ามาทุกทีรีบกางเต้นท์เก็บข้าวของแล้วออกมาถ่ายรูปเล่นสี่ห้ารูป จากนั้นก็เตรียมมื้อเย็น รอบนี้ผมเน้นอาหารซองปรุงสำเร็จแค่อุ่นก็กินได้เลย อิ่มท้อง นอนหลับสบาย ขอบอกว่าหลับแต่หัวค่ำ






เช้าวันใหม่อากาศดีรีบลุกจากที่นอน คว้ากล้องแล้วเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้น วิวพระอาทิตย์ขึ้นที่เขากำแพง พระอาทิตย์จะขึ้นผ่านยอดภูเขา 











เมื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จก็เดินกลับมาต้มทำชงกาแฟทำมื้อเช้าแล้วเตรียมตัวเก็บข้าวของเพื่อเดินกลับ





สำหรับทริปเขากำแพง เป็นการเดินเขาที่เรียกว่าดิบ ทางรก เหมาะมากกับการเผชิญความตื่นเต้นบนทางที่ลำบาก ก่อนไปแนะนำว่าควรทำการบ้านให้ดีโดยเฉพาะคนที่เปิดทางเดินใหม่ตั้งแต่อุทยาน ควรใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว มีสเปรย์กันยุง รองเท้าดอกใหญ่เกาะพื้นดินดีเช่นสตั๊ดดอย น้ำดื่มด้านบนไม่มีแหล่งน้ำ สามารถกางเต้นหรือผูกเปลนอนได้

ค่าใช้จ่าย 
ค่าเข้าอุทยานคนละ 40 บาท
ค่ากางเต้นท์ค้างแรมคนละ 30 บาท
ค่ารถเข้าอุทยานคันละ 30 บาท
ค่าเจ้าหน้าที่นำทาง 800 บาทต่อวัน ไป-กลับ 1,600 บาท
ค่าลูกหาบ 800 บาทต่อวัน ไป-กลับ 1,600 บาท









วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

แตะขอบฟ้าหน้าฝน ที่ดอยอินทนนท์

แตะขอบฟ้าหน้าฝน ที่ดอยอินทนนท์

       ผมเชื่อว่าหลายต่อหลายคน พอพูดถึงหน้าฝนแทบจะไม่อยากเดินทางไปไหน ถึงแม้ว่าจะออกไปเที่ยวก็ตาม แต่สำหรับผม หน้าฝนคือช่วงที่น่าเที่ยวมากที่สุด ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง ตั้งแต่เรื่องอากาศที่เย็นชุ่มชื่น มองไปทางไหนระหว่างเดินทางก็เขียวขจี เย็นสบายตา ไม่ต้องแย่งกิน แย่งเที่ยว แย่งพัก 



       เมื่อเห็นข้อดีแบบนี้ก็ถึงเวลาที่จะเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแล้วออกเดินทาง ซึ่งทริปนี้คือ อุทยานเเห่งชาติดอยอินทนนท์ จากความสงสัยที่ว่า หน้าฝน บนดอยสูง ฝนจะตกไหม ว่าแล้วก็ไปพร้อมกันเลยครับ

นาขั้นบันไดบ้านแม่กลางหลวง

       หลังจากขับรถออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ ก็มุ่งหน้าสู่อำเภอจอมทอง จากนั้นก็ขับตรงขึ้นอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ หลังจากที่ผ่านด่านของอุทยานก็ต้องชำระค่าธรรมเนียมการเข้าอุทยานซึ่งคิดเป็นจำนวนคนและประเภทรถที่นำเข้า เมื่อขับตามทางมาไม่นานนัก ก็ต้องขอแวะเสพบรรยากาศของนาขั้นบันได ที่บ้านแม่กลางหลวง แต่ว่าไม่ได้ลงไปที่หมู่บ้าน เนื่องจากเป้าหมายจริงๆอยู่ที่ยอดดอยอินทนนท์ ซึ่งตอนนั้นเวลาประมาณ บ่ายโมง 

นาขั้นบันไดบ้านแม่กลางหลวง

แวะถ่ายรูป


       เมื่อเดินทางออกมาหลังจากแวะถ่ายรูปที่แม่กลางหลวงก็ขับรถตามทางมาเรื่อยๆ ทางระหว่างขึ้นดอยลาดชันเพราะฉะนั้นต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่ค่อนข้างมาก ที่สำคัญต้องใช้เกียร์ต่ำทั้งขึ้นและลง 
ถึงยอดดอยอินทนนท์
    ขับรถเปิดกระจกสัมผัสอากาศเย็นได้ไม่นานนัก ก็ถึงยอดดอยเป็นที่เรียบร้อย ลมด้านบนแรงมากบวกกับอากาศที่เย็นทำให้สดชื่นมากเลยทีเดียว ตลอดเวลาที่อยู่บนดอยไม่เจอฝนเลยครับ แต่ที่เจอคือเมฆวิ่งผ่านตัว

จุดหมุดกรมแผนที่ทหาร หลักฐานยืนยันสูงสุดแดนสยาม

หมุดกรมแผนที่ทหาร

ด้วยความที่เป็นหน้าฝนคนเที่ยวน้อย มอสเลยได้มีโอกาสแทรกตัวตามพื้น

ดอกไม้บนดอย

ดอกไม้บนดอย

ชอบมุมนี้ เหมือนอุโมงค์ต้นไม้

สูงสุดแดนสยาม

      


       ความสวยงามของการเที่ยวหน้าฝน กับอากาศที่สดชื่น ผู้คนน้อยไม่วุ่นวาย ทำให้ได้ภาพบรรยากาศที่ไม่ค่อยมีคน ได้ภาพบรรยากาศที่สบายตาโดยไม่ต้องรอจังหวะมากมายนัก












เกือบได้แตะขอบฟ้า ที่แน่ๆคือมาเหนือเมฆ



      ขาลงดอยขอแวะเที่ยวชมวิวอีกสักนิด เพราะต้องขอบอกเลยว่าหลงใหลกับอากาศเย็นบนดอยมาก

















     ขาลงพอขับรถมาเรื่อยๆ เลยตลาดแม้วข้างทางมานิดหน่อย มองไปเห็นต้นพลับที่มีลูกเต็มต้น เลยแวะซื้อชิมสักหน่อย ราคาสบายๆถุงละ25-30บาทแบบปลอกเปลือกและหั่น ส่วนถ้าจะซื้อถุงใหญ่เป็น 5-10 กิโลก็มีขายเช่นกัน

สาลี่ดอย

ต้นพลับ

ลูกพลับสดจากต้น

       สรุปการเดินทางเที่ยวดอยอินทนนท์หน้าฝน ผมว่าอากาศดีและคนน้อย ได้เห็นมุมที่แตกต่างจากที่เราเคยเห็นในหน้าหนาว ถ้ามีโอกาสผมอยากให้ลองไปเที่ยวดอยอินทนนท์หน้าฝนสักครั้ง แล้วจะชอบแน่นอน