วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557

มัลดีฟส์ ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไป

มัลดีฟส์ ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไป


 


เชื่อเถอะครับว่า “มัลดีฟส์” คือจุดหมายหนึ่งของนักเดินทางที่หลงรักทะเล เพราะหลายต่อหลายสื่อ หลายต่อหลายคน มักพูดว่า ต้องขอไปมัลดีฟส์ให้ได้ก่อนตาย จากภาพที่ถูกถ่ายทอดออกมาสู่สายตาเรา ต้องยอมรับว่า มัลดีฟส์สวยมากจริงๆ




ครั้งนี้เป็นโอกาสของผมที่จะได้เดินทางไปยังแห่งที่ใครต่อใครฝันว่าจะได้ไป และทริปนี้ 4วัน3คืน แบบเต็มอิ่มแน่นอน

การเดินทางของผมเริ่มต้นตั้งแต่การเดินทางออกจากที่พัก 7โมงเช้า เพื่อหนีรถติดและมุ่งหน้าตรงสู่ “ท่าอากาศยานนานานชาติสุวรรณภูมิ” ทำการเช็คอินโหลดกระเป๋าเดินทางด้วยสายการบิน “บางกอกแอร์เวย์” ต้องยอมรับครับว่าก่อนที่จะจองตั๋วเครื่องบินก็คิดอยู่นานเช่นกันว่าจะเดินทางด้วยสายการบินอะไรดี เพราะว่ายังมีสายการบิน “ศรีลังกาแอร์ไลน์” อีกหนึ่งสายการบิน ที่ราคาตั๋วถูกกว่ากันมากแต่ใช้เวลาเดินทางเยอะกว่าและต้องต่อเครื่อง สุดท้ายไม่อยากนั่งเครื่องนานก็เลยเดินทางด้วยบางกอกแอร์เวย์



หลังจากเช็คอินที่เค้าเตอร์เป็นที่เรียบร้อย ก็เข้าสู่ขั้นตอนการตรวจคนออกเมือง ซึ่งก่อนมาถึงตรงนี้จะต้องผ่านเจ้าหน้าที่ ที่ขอดูบัตรโดยสารเครื่องบินและพาสปอร์ตก่อน ตามด้วยการสแกนวัตถุอันตราย

การตรวจคนขาออกของประเทศไทยที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีช่องสำหรับคนไทยโดยเฉพาะ มีทั้งระบบอิเล็กโทรนิคและแบบเจ้าหน้าที่ตรวจ ทำให้การตรวจคนออกเมืองค่อนข้างเร็วและอีกอย่างการเดินทางในช่วงเวลา ประมาณ 8-9 โมงคนไม่ค่อยมากเลยสบายๆมีเวลาในสนามบินอีกมาก

เมื่อผ่านทุกขั้นตอนเรียบร้อยก็เดินตรงมุ่งหน้าไปที่ Lounge ของบางกอกแอร์เวย์(Boutique Lounge) หาขนมว่าง ชากาแฟรองท้องเบาๆ ก่อนเข้าใช้บริการต้องแสดงบัตรโดยสารของสายการบินด้วยซึ่งพนักงานก็จะให้ Password Internet มาด้วยเช่นกัน




ด้านในมีหลายอย่างทั้งบราวนี่ ขนมปัง แซนวิช หรือของขึ้นชื่อที่ล่ำลือว่าอร่อยมาก อย่างข้าวต้มมัด มุมกาแฟมีให้เลือกทั้งแบบ 3in1หรือแบบกาแฟสด รวมถึงน้ำผลไม้ น้ำเปล่า เลยลองชิมอย่างละชิ้นสองชิน




เมื่อได้เวลาก็เดินไปที่ Gate เพื่อรอเรียกขึ้นเครื่อง จุดนี้มีการตรวจเช็คผู้โดยสารอีกครั้งด้วยการขอดูหนังสือเดินทางและตั๋วเครื่องบิน
เครื่องบินที่พาผมเดินทางไปยังสนามบิน “อิบราฮิม นาเซอร์” เป็นเครื่องบินลำขนาดกลางๆไม่ใหญ่ มีที่นั้งแถวละ 6คน ฝั่งละ 3ที่นั่ง มีที่ให้พอยืดขากับการบินประมาณ 3ชั่วโมงครึ่ง




เมื่อเครื่องขึ้นสู่เพดานบิน พนักงานก็เริ่มต้นด้วยการแจกขนมกรุบกรอบ ตามด้วยเครื่องดื่ม ที่มีพร้อม ชากาแฟ น้ำอัดลม แอลกอฮอล์ และอาหาร ซึ่งที่ชอบมากคือ การให้ช้อนที่เป็นโลหะ ต่างจากบางสายการบินที่เป็นช้อนพลาสติก และในส่วนของเครื่องดื่มสามารถรับบริการได้ตลอดเส้นทาง




เมื่อใกล้ถึง “สนามบินอิบราฮิม นาเซอร์” ก็ต้องขอเปิดหน้าต่างดูสักนิดและสมใจกับวิวที่ได้เห็น หมู่เกาะมากมายที่รายล้อมท่ามกลางทะเล เป็นสีฟ้าอ่อนสวยงาม




เมื่อเครื่องลงถึง “ท่าอากาศยานนานาชาติ อิบราฮิม นาเซอร์” ที่รู้จักในนามของ “ท่าอากาศยานนานาชาติมาเล” เป็นท่าอากาศยานหลัก ของ ประเทศมัลดีฟส์  ตั้งอยู่บน เกาะฮุลฮูเลล ทางตอนเหนือของ อะทอลล์มาเลใกล้กับเมืองหลวง กรุงมาเล  เป็นสนามบินที่ขนาดไม่ใหญ่แต่ติดกับทะเลเพราะเป็นเกาะและยังสามารถมองเห็นเมืองมาเลได้

สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ห้ามนำเข้าประเทศมัลดีฟส์โดยเด็ดขาดคือ อาหารที่ทำจากหมูเพราะประชากรแทบจะทั้งหมดของมัลดีฟส์นับถือศาสนาอิสลาม

หลังจากที่รับกระเป๋าเดินทางเป็นที่เรียบร้อยก็เดินออกจากห้องผู้โดยสาร ระหว่างทางออกจะมีโรงแรมรีสอร์ทมายืนถือป้ายเพื่อรอรับแขกที่ได้ทำการจองห้องพักไว้และผมก็เจอ “คลับเมดคานิ” เลยเเสดงตัวให้รู้ว่าเรามาแล้วและขอตัวไปซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์เพื่อไม่ให้พลาดการติดต่อบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีผู้ให้บริการอยู่ด้านหน้าสนามบิน



ซิมการ์ดโทรศัพท์แบ่งตามประเภทว่าใช้กับโทรศัพท์หรือใช้กับโน้ตบุ๊ค ราคาอยู่ที่ประมาณ 11 US ขึ้นอยู่กับปริมาณการรับส่งข้อมูลที่เราต้องการของบริการ 3G แต่จะมีค่าซิมการ์ดอีก 3 US รวมเป็น  ส่วนของผมหมดเงินค่าซิมการ์ดไปทั้งหมด 14 US เมื่อเปลี่ยนซิมเสร็จก็เริ่มสู่ระบบโซเชียลมีเดียร์ตามปรกติ

หลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อยได้ใช้อินเตอร์เน็ตสมใจก็ไปจุดนัดหมายของคลับเมด เจ้าหน้าที่ก็ทำการเช็คชื่อผูกแท็กกระเป๋าหมายเลขห้อง และผูกข้อมือด้วยริบบิ้นสีม่วงมีโลโก้คลับเมด ซึ่งผู้เฉพาะคนที่พัก “lagoon suite” เท่านั้น



จากนั้นทำการเขียนชื่อ ข้อมูลลงทะเบียนในแบบฟอร์ม การติดต่อเพราะก่อนหน้านี้ยังไม่เคยสมัครเป็นสมาชิกของคลับเมด เพื่อหลังจากที่เรากลับจะมีการส่งเมลล์ข้อมูลมาสอบถามถึงความพึงพอใจอีกครั้งพร้อมส่งข้อมูลโปรโมชั่นของคลับเมดในแต่ละที่มาให้เราด้วยเช่นกัน

เมื่อทุกคนพร้อมก็ลากกระเป๋าไปที่เรือซึ่งอยู่ไม่ไกล ประมาณ 50เมตร แค่เห็นน้ำที่ท่าเรือก็ต้องอมยิ้มเพราะว่าน้ำใสมาก เรือที่ผมต้องนั่งไปคลับเมดคานิ ด้านหน้าจะกันน้ำอย่างมิดชิด ทีแรกก็สงสัยว่าเพราะอะไรถึงปิดขนาดนั้น แต่พอเรือออกได้ไม่เกิน 5นาทีก็เข้าใจ เพราะว่าคลื่นแรงมาก หัวเรือแหวกน้ำกระเซ็นสาดผ่าเกลียวคลื่นเรือเหินทะยานแต่ก็สนุกดี เพราะในประเทศไทยไม่ค่อยได้เจอคลื่นแบบนี้



 



หลังจากที่นั่งเรือผ่านเกาะต่างๆมาประมาณ 30 นาทีก็ถึงที่หมาย “คลับเมดคานิ” มีพนักงานหลายคนมารอต้อนรับ รวมถึง GO คนไทย ที่จะคอยดูแลต้อนรับแนะนำตลอดที่เราอยู่ในรีสอร์ท ซึ่งวันแรกที่ผมได้เจอคือ GO อ๊อฟ ที่ทำการพาเดินทัวร์แนะนะส่วนต่างๆของคลับเมดและพาเดินไปส่งถึงห้องพัก แค่ส่งยังไม่พอ ยังแนะนำส่วนต่างๆของห้องพักให้ผมอีกด้วย


    คลับเมดคานิ แบ่งที่พักออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนของห้องซูพีเรีย  ส่วนบีชวิลล่า และลากูนสูท แต่ความพิเศษอยู่ที่โซนของลากูนสูท ที่ผู้เข้าพักส่วนอื่นไม่สามารถเข้ามาได้ กับการให้บริการที่ถือว่าเป็น  Luxury 5 Star  


ผมขอเน้นเรื่องราวของ ลากูนสูทหรือลากูนสวีท ที่เรามักเรียกกัน เพราะว่าเป็นสถานที่ที่ผมได้ทำการพักผ่อนจริง ส่วนห้องบีชวิลล่าและซูพีเรียก็จะมีข้อมูลตามที่ได้เห็นเพียงผ่านๆ ซึ่งซูพีเรียจะอยู่คนละฝั่งกับบีชวิลล่าและลากูนสูท เป็นตึก2ชั้นที่แฝงตัวตามต้นไม้ ในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานเช่นผ้าเช็ดตัวตู้เย็นขนาดเล็กและห้องบีชวิลล่าจะอยู่ใกล้หาด เดินประมาณ 20 ก้าวถึงชายหาด ห้องพักจะแบ่งเป็นสัดส่วนของโซนแต่ที่ต่างส่วนมากก็เป็นที่ตั้งของห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวกในห้อง ส่วนในเรื่องของอาหารแล้วเครื่องดื่มไม่มีอั้น แค่ไปให้ถูกห้องอาหารและถูกบาร์เท่านั้น


    มาที่ส่วนของลากูนสูทที่ค้างไว้เมื่อเดินหลุดพ้นจากโซนของบีชวิลล่าจะเป็นโซนของลากูนสูท มีซุ้มต้นเสาสูงตั้งเด่นประหนึ่งจะบอกในในว่าโซนนี้คือโซนพิเศษ เมื่อน้อง GO พามาถึงจุดนี้ก็ได้ให้นั่งพักและนำเครื่องดื่มต้อนรับมาให้ เป็นน้ำส้มและทำการให้การ์ดห้องและอธิบายส่วนต่างๆทั้งในเรื่องของกิจกรรมภายในโซนและกิจกรรมของรีสอร์ท แต่ตอนนี้ขอบอกถึงในโซนลากูนก่อนครับ


    เมื่อลุกขึ้นเดินต่อโดยมี GO ไทยเดินให้คำแนะนำสถานที่ จากจุดแรกเดินมาเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงจุดที่เรียกได้ว่าเป็นแลนด์มาร์คของคลับเมดคานิ ที่มีภาพถ่ายสวยๆกับเบาะสีส้มหรือเปลตาข่ายกลางน้ำ จุดนี้คือ Manta Lounge ที่มีไว้บริการเฉพาะผู้ที่เข้าพักห้องลากูน จุดนี้จะมีตั้งได้ Wi-Fi เครื่องดื่ม ซอฟดริ้ง ค็อกเทล วิสกี้ บรั่นดี ไวน์ ส่วนแชมเปนส์จะบริการช่วง 19.00-22.00น. โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

    แวะดื่มค็อกเท็ลไป 1 แก้วก็เดินต่อไปยังห้องพัก 119 ซึ่งถ้าใครเป็นภาพถ่ายมุมสูงของคลับเมดคานิจะเป็นเป็นต้นตาล ห้องพักของผมก็อยู่ที่ปลายต้นตาลครับ ระหว่างทางเดินจะเป็นทางเดินไม้ มองลงไปในทะเลน้ำใสมาก เดินเพลินๆถึงหน้าห้อง GO เอาคีย์การ์ดทำการเปิดประตูให้และเสียบเพื่อกระแสไฟในห้องทำงานและสุดท้ายการ์ดใบนั้นเขาก็เสียบให้ตลอด 4 วัน 3 คืน 


วนกลับมาที่ห้องต่อครับ เมื่อเปิดประตูห้องด้านขวามือจะเป็นส่วนของชั้นวางของเล็กๆ ด้านขวามือจะเป็นโต๊ะรับแขก ทานอาหารซึ่งมีผลไม้ต้อนรับและแชมเปนส์ใส่ในถังชิลเลอร์พร้อมแก้ว ถัดไปมีประตูที่สามารถอกได้ 2 ทางคือ ห้องนอนและระเบียง


เมื่อเข้าผ่านห้องนอนก็จะเห็นเตียงถูกปูด้วยผ้าสีขาวห่มด้วยผ้านวม มีมุ้งตกแต่งแบบเก๋ๆ ปลายเตียงมีที่สำหรับวางของและหนังสือต้อนรับ หันหลังให้เตียงจะเป็นระเบียงที่มีเพียงประตูกระจกกั้น สามารถเปิดได้กว้างเพื่อเสพอากาศบนเตียงนอนหรือจะออกไปนั่งเล่นที่เตียงด้านนอกก็ได้


ห้องข้างเตียงนอนเป็นห้องเสื้อผ้าและตู้บาร์ มีตั้งแต่มาม่า ชา กาแฟ น้ำอัดลม แต่ที่ชอบมากที่สุดคือมีเครื่องทำกาแฟแคปซูน พร้อมแคปซูนอีก 8 อัน ถ้าทานหมดของทุกอย่างสามารถขอเพิ่มได้ ยกเว้นแต่แชมเปนส์เท่านั้น ที่ห้องเสื้อผ้าจะมีเตารีด ตู้เซฟ เสื้อชูชีพ ไม้แขวนเสื้อ รองเท้า ถุงสำหรับผ้าเปียก ร่ม ไฟฉาย


ส่วนอีกฝั่งของเตียงนอนเป็นห้องน้ำ เมื่อปิดประตูเข้าไปจะเห็นกระจก อ่างล้างหน้าและอุปกรณ์ในห้องน้ำวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ ด้านขวามือเป็นอ่างอาบน้ำที่สามารถมองเห็นทะเลได้ มีม่านสามารถเปิดปิดได้แบบไม่บังวิวแม้แต่นิดเดียว ส่วนทางด้านซ้ายมือคือห้องน้ำและห้องอาบน้ำ




เรื่องของสิ่งอำนวยตวามสะดวกต้องบอกว่ามีครบทุกอย่างแม้กระทั่งปลั๊กแปลงไฟ แต่อีกหนึ่งของความพิเศษคือการที่เราสามารถเรียกรับบริการได้ 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นน้ำแข็งหรืออื่นๆ และหากไม่อยากออกไปทานอาหารเช้าก็จะมีใบให้กรอกว่าต้องการทานอะไร ที่สามารถระบุเวลาให้มาส่งได้แต่ต้องน้ำใบไปเสียบที่หน้าห้องก่อนตี 2 วันรุ่งขึ้นก็จะมีอาหารมาส่งตามเวลาและความน่ารักอีกอย่างคือ จะมีช็อกโกแล็ต มาวางไว้ให้ก่อนนอนทุกคืน
สิ่งหนึ่งที่ต้องทำเวลามานอนที่ลากูนสูทคือ เล่นน้ำหน้าห้องตัวเองและผมก็ไม่พลาดเช่นกัน กระโดดน้ำเล่นอย่างสะใจ แต่กระแสน้ำค่อนข้างแรง


ครับเลยเหนื่อยกับการว่ายน้ำค่อนข้างมาก แต่ก็สนุกครับ น้ำใสมาก ยิ่งถ้าตื่นมาช่วงเช้าจะได้เห็นปลาว่ายน้ำมาถึงหน้าห้อง สารพัดชนิด จิบกาแฟอีกหน่อย บอกเลยครับว่าเพลินมาก


กิจกรรมของคลับเมดมีอะไรบ้าง หลายคนคงอยากรู้ เริ่มตั้งแต่ตอนเช้าเลยแล้วกันครับ ตั้งแต่เช้าก่อน 9 โมง เราสามารถเล่นฟิตเนสที่ห้องริมหาด เล่นไปชมวิวไป จากนั้นต่อด้วย การทดสอบว่ายน้ำ 50 เมตร เพื่อออกไปดำน้ำยังจุดที่เรือของคลับเมดพาไป กลับมาช่วงบ่ายกินข้าว ตามด้วยแช่น้ำในสระจิบเครื่องดื่มเย็นๆหรือจะเล่นกีฬาชายหาด พายเรือคายัก ตกเย็นมีกิจกรรมที่ถูกเปลี่ยนไปในแต่ละวันให้ร่วมสนุกจนถึงเวลาเที่ยงคืน เรียกง่ายๆว่าแน่นครับ กับกิจกรรมที่ คลับเมดเตรียมไว้


เรื่องของอาหารการกิน หลักๆแล้วมีห้องอาหารอยู่ 2 ห้องหลัก ห้องแรก “The Velhi” เป็นทั้งห้องอาหารเช้า กลางวัน เย็น แบบบุฟเฟ่ต์ ซึ่งอาหารจะเปลี่ยนไปในแต่ละวัน จะมีเพียงสลัดบาร์ ชีส ผลไม้ที่ไม่ได้เปลี่ยนตาม เนื่องจากที่เป็นห้องอาหารหลัก ทำให้คนมาทานค่อนข้างมาก อาจมีความวุ่นวายเล็กน้อย แต่โดยส่วนตัวชอบหนีไปทานที่ 


“The Kandu” ห้องอาหารขนาดกะทัดรัด  เสิร์ฟเมนูแบบอะลาคาร์ต มีตั้งแต่ซุป เมนคอร์ท อาหารหวาน เครื่องดื่ม คนน้อยนั่งทานสบายใจ ดูคลื่น ดูฉลาม โดยที่ไม่ต้องไปแย่งคนอื่นแต่ห้องอาหารนี้จะเปิดช่วง บ่าย2 แต่ถ้าหากอยากนั่งทานมื้อเย็นต้องจองล่วงหน้า 1 วัน 

นอกจากห้องอาหารยังมีส่วนของบาร์ 3 บาร์ คือ “Sunset Beach Bar”  บาร์บรรยากาศสบายๆ ตั้งอยู่ริมหาดและใกล้กับสระว่ายน้ำของรีสอร์ท  สามารถไปให้บริการได้ตลอดวัน  


“Lru Bar” บาร์ใหญ่เหนือลากูน จุดศุนย์กลางของกิจกรรมช่วงหัวค่ำ จุดนี้จะมีโรงละครคลับเมด ที่รวบรวมโชว์ การแสดงที่ให้ความบันเทิง และยังมีจุดที่ให้เราร่วมสนุกได้โดยการเต้น เรียกได้ว่ามาจุดนี้สนุกแน่ จุดสุดท้ายที่เด็ดสุด


“Manta Lounge”  เลานจ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ จุดเช็กอิน-เช็กเอาต์ของผู้ที่เข้าพักใน Lagoon Suite  พร้อมบาร์เครื่องดื่มที่ให้บริการตลอดเกือบทั้งวันแบบชนิดที่เรียกได้ว่าสารพัดเครื่องดื่ม นอกจากนี้ยังมีบริการฟรี  Wi-Fi และมุมอ่านหนังสือที่เป็นเหมือนแลนด์มาร์คคือตะข่ายที่ยื่นออกไปในน้ำกับเบาะสีส้ม จุนี้ช่วงเย็นถึงค่ำเหมาะมากกับการนอนชิลดูดาว


จากการเดินทางทริปนี้ 4 วัน 3 คืน ที่เริ่มต้นด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์แบบบินตรง ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกับห้องพัก ลากูนสูท คลับเมดคานิ ต้องบอกเลยว่าเป็นทริปที่เพอร์เฟ็กต์ที่สุด เพราะได้รับความสะดวกสบายตลอดการเดินทางและพักผ่อน สมกับคำที่ว่า “มัลดีฟส์ ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไป”











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น