วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

54 หมูกระทะ เดลิเวอรี่



ใกล้ช่วงสิ้นปี อากาศเย็นๆก็ไปแวะเที่ยวหาเพื่อนแถวจรัญฯ 13 เพื่อนก็จัดแจงโทรสั่งหมูกระทะให้เอามาส่ง ความจริงก็ไม่ได้อยากกินหมูกระทะสักเท่าไรแต่เพื่อนบอกว่าอร่อย เอ๊า.. กินก็กิน

ทีแรกก็หวั่นใจว่าจะเป็นยังไง เพราะปรกติเวลากินหมูกระทะส่วนมากจะเป็นบุฟเฟ่ต์ตามร้านส่วนรสชาติไม่เน้น เน้นได้คุยกับเพื่อนซะมากกว่า แต่ด้วยความที่ไม่เคยสั่งแบบเดลิเวอรี่นี่ล่ะที่ทำให้อยากถ่ายรูปมาลงรีวิว จะกินได้หรือไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที

หลังจากที่เพื่อนผมโทรสั่งหมูกระทะสักครึ่งชั่วโมง หมูกระทะที่สั่งก็มาถึงด้วยการเดินทางสองล้อของคนส่ง สิ่งที่ได้มาคือ เตาและกระทะของหมูกระทะแบบใช้ถ่านย่าง ถ่าน1ถุง แอลกอฮอล์ก้อน และถุงหิ้วสีชมพูใหญ่ๆ1ใบ กับบิลค่าหมูกระทะ 450 บาท 


 


มาดูกันครับว่าในถุงชมพูมีอะไรบ้าง มีกล่องโฟมใหญ่ 2 กล่อง ถุงน้ำซุป ถุงผักเท่าที่เห็นมีผัก 3 อย่าง คือผักกาดหอม ผักบุ้ง กะหล่ำปลีซอย น้ำจิ้ม ก็มี 3 ถุง เป็นน้ำจิ้มสุกี้ 1ถุง น้ำจิ้มที่เหมือนน้ำจิ้มสุกี้แต่ใสกว่าอีก 1ถุง และน้ำจิ้มซีฟู้ด ยังไม่หมด มีน้ำอัดลม 1 ลิตรอีก 1ขวด พร้อมตะเกียบด้วย อ่อลืมไปครับ ไม่มีไข่ไก่ 


ด้วยความอยากรู้ว่าน้ำหนักในกล่องโฟมหนักเท่าไรก็ต้องเอามาชั่งกิโลครับ น้ำหนักของกล่องทั้งสองคือ 1.5 กิโลกรัม ที่ในกล่องโฟมกล่องแรกมี ไก่ หมึก กุ้ง เบคอนพันเห็ดและปูอัด ส่วนอีกกล่องมีเนื้อหมู หมูสามชั้น ตับ แต่เนื้อหมูมีสองส่วนน่าจะหมักมาไม่เหมือนกันครับ























จะรออะไรอยู่ล่ะครับ มาจุดไฟก่อถ่านเลย แต่ระหว่างที่กำลังก่อถ่านอยู่นั้น อยู่ดีดีเพื่อนก็บอกว่า ความจริงเขามีเตาไฟฟ้าให้แต่...ไม่เอาเพราะมันไม่ได้อารมณ์ ผมก็เลยบอกเพื่อนสั้นๆว่า ขอบใจ!!!

เมื่อถ่านติดไฟ ใส่น้ำซุป กระทะร้อนเอามันหมูระเลง ตามด้วย เนื้อและผัก จากนั้นก็พลิกไปมา สุกได้ที่ก็จิ้มน้ำจิ้มแล้วใส่ปาก 











มาเรื่องรสชาติบ้างครับ หมูหมักมีความนุ่มอยู่ครับ เมื่อจิ้มกับน้ำจิ้มอันแรก จะเป็นน้ำจิ้มเผ็ดมีรสเปรี้ยวนำ ส่วนตัวชอบรสเปรี้ยวนำอยูแล้วครับเลยชอบ อ่อ ที่สำคัญน้ำจิ้มค่อนข้างข้นดีครับ เวลาที่เราจิ้มไปก็จะมีน้ำจิ้มติดกับหมูย่างมาด้วย 




น้ำจิ้มอันที่สองเป็นน้ำจิ้มคล้ายอันแรก แต่ ใสกว่า รสชาติออกหวานนำ น่าจะเป็นน้ำจิ้มหวานที่เหมาะกับเด็กๆครับ น้ำจิ้มนี้ไม่ข้น เวลาจิ้มก็จะไม่มีน้ำจิ้มติดหมูขึ้นมาเยอะครับ 



น้ำจิ้มอันสุดท้ายเป็นน้ำจิ้มซีฟู้ดครับ เขาใช้เครื่องปั่นในการทำน้ำจิ้มเลยทำให้ความหอมของพริกหายไปแต่อย่างว่าครับทำขายถ้ามัวแต่ตำคงไม่ทันขายแน่ๆ 



รสชาติรวมๆถือว่าโอเคเลยครับ แต่ถ้าจะติก็คงเป็นปูอัดครับ ที่ส่วนตัวรู้สึกว่าแป้งจะเยอะไปหน่อย ส่วนความคุ้มค่าถือว่าคุ้มกับราคาที่จ่ายไป 450 บาท

ใครอยากสั่งมากินก็ลองโทรถามดูครับว่าเขาส่งถึงบริเวณไหนบ้างที่เบอร์  099-9654524 ร้าน 54 หมูกระทะ 


วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2558

วาฏิกา กุยบุรี


วาฏิกา กุยบุรี


ทริปนี้เป็นทริปสบายๆส่งท้ายปลายฝน เพราะว่าบัตรที่พักที่ซื้อมาจากงานวันธรรมดาน่าเที่ยวกำลังหมดอายุในอีกไม่ถึงสัปดาห์เลยต้องรีบใช้เพราะมัวแต่กลัวฝนจนบัตรจะหมดอายุ





วาฏิกาเป็นจุดหมายหนึ่งที่ผมอยากลองมาพักโดยเฉพาะห้อง Penthouse ที่ถือได้ว่าเป็นห้อง     ท็อปสุด และได้โปรมา 6,500 บาท บอกตรงๆครับว่าตอนซื้อบัตรที่พักมายังไม่รู้ว่าค่าห้องจะคุ้มกับการจ่ายเงินไหม


มาเดินทางกันเลยดีกว่าครับ ผมออกเดินทางจาก กรุงเทพฯใช้เส้นทางพระราม 2 ผ่าน สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี แล้วเลี้ยวเข้าทางปราณบุรี เพราะทางรีสอร์ทแจ้งว่าถนนหลักทำทางให้วิ่งมาทางสามร้อยยอดแทน รวมเวลาเดินทางแบบเรื่อยๆประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆ ไม่รวมแวะเที่ยวระหว่างทาง


ระหว่างการเดินทางช่วงแรกไม่ค่อยมีอะไรให้ตื่นตาตื่นใจครับเพราะว่าเดินทางผ่านบ่อยอยู่แล้ว แต่ทางช่วงก่อนเข้าสามร้อยยอดต้องบอกครับว่าถนนเส้นนี้ผมยังไม่เคยมาทำให้มีเรื่องราวระหว่างทางเพิ่มขึ้นก่อนถึงที่พัก 

เรื่องราวแรกคือช่วงที่ไปเป็นช่วงท้ายหน้าฝนทำให้ยังมีฝนตกอยู่บ้างเป็นระยะ ทางช่วงสามร้อยยอดจะมีภูเขาเยอะมาก วิวที่ได้มาคือ หมอกเคลื่อนตัวผ่านภูเขา บรรยากาศที่ผมได้เห็นตอนนั้นบอกตรงๆครับว่าประทับใจจนต้องแวะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระทึก เอ๊ย.. ระลึก



เก็บภาพเสร็จเดินทางต่อเพื่อไปที่พัก แต่ระหว่างทางอีกเช่นกัน ก่อนถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติสามร้อยยอด เห็นป้าย จุดชมวิวเขาแดง ทีแรกก็ขับรถผ่านครับแต่ด้วยความที่กลัวเวลาเหลือ เพราะเช็คอินบ่ายสองโมง เลยลองเลี้ยวรถกลับไปดูลาดราวสักหน่อยว่าจะขึ้นไปดีไหม







จากป้ายจุดชมวิวจะต้องขับรถเข้าไปบนถนนแดงประมาณ 500 เมตร แต่ตอนที่ผมไปเห็นเจ้าหน้าที่อุทยานกำลังตัดหญ้าเพื่อเคลียร์เส้นทางให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้น พอสอบถามข้อมูล เจ้าหน้าที่บอกว่าเดินเท้าประมาณ 300 เมตร ทางไม่ชันมาก เขาเพิ่งเดินขึ้นไปตัดต้นไม้แล้วลงมา ตอนนี้กำลังมีทะเลหมอก พอได้ยินคำว่า ทะเลหมอก ช่วง 11 โมง ทำให้ตัดสินใจได้ทันทีว่า เดินขึ้นเถอะ แต่เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าความจริงควรมาช่วงตี 5 ครึ่งเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่ต้องติดต่ออุทยานเพื่อให้เจ้าหน้าที่นำทาง 



300 เมตรผมเดินประมาณครึ่งชั่วโมง วิวด้านบนจุดชมวิวเขาแดงสวยมากครับ มีทั้งวิวภูเขา วิวทะเล นั่งเล่นถ่ายรูปเสพบรรยากาศอยู่ประมาณ 20 นาทีแล้วมุ่งหน้าไป วาฏิกา

















เมื่อจอดรถมีเจ้าหน้าที่มารอรับพาเช็คอินแล้วช่วยถือกระเป๋าไปส่งที่ห้อง ระหว่างทางเดินก็แนะนำส่วนต่างๆทั้งฟิตเนส ห้องพักหลังต่างๆ ส่วนของร้านอาหาร สระว่ายน้ำ สปา 































ห้องที่ผมพักคือห้อง Penthouse อยู่ชั้นที่ 3 ชั้นบนสุด ที่มีพื้นที่กว้าง 70 ตารางเมตร เมื่อเปิดประตูเข้าไปภายใน ด้ายซ้ายมือคือมินิบาร์ ขวามือเป็นประตูเลื่อนกระจก สามารถออกไปนั่งเล่นได้ ถัดเข้ามาเป็นตู้เสื้อผ้า ชั้นหนังสือและเตียงนอน ภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทั้งเครื่องเสียง ทีวี ตู้เย็น โซฟา ที่นั่งเล่น แต่จุดเด่นของห้องนี้คือ วิว เพราะผนังห้องฝั่งทะเลเป็นกระจก เราสามารถนอนชมวิวท้องฟ้าและทะเลได้จากเตียงนอน ถัดออกไปจากเตียงนอนเป็นประตูเลื่อนเข้าสู่โซนห้องน้ำ เมื่อเปิดไปจะเจอกับอ่างล้างหน้าและโซนห้องน้ำแห้งถัดไปเป็นโซนเปียก ขวามือเป็นอ่างอาบน้ำจากุชซี่ที่ชมวิวทะเลได้ 





เดินสำรวจห้องเสร็จ เปิดตู้เย็นเจอเค้กมะพร้าวโฮมเมดเป็น Complimentary  รสชาติอร่อยดีครับ เนื้อแป้งเค้กนิ่มมีเนื้อมะพร้าวอ่อนให้ได้เคี้ยว







Afternoontea ที่วาฏิกาก็จัดให้ผมเหมือนกันครับ เพราะว่าเป็น Complimentary เช่นกัน



ชายหาดบริเวณรีสอร์ทสามารถลงเล่นน้ำได้ครับ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงก็ต้องแต่งตัวสุภาพนิดหนึ่งเนื่องจากข้างรีสอร์ทเป็นวัดครับ 










มื้อเย็น ผมขอแบบไม่หนักมากจัดอาหารแค่ ส้มตำปูม้า ปูหลนพร้อมผัก หมึกฉู่ฉี่ยัดใบชะครามและกล้วยหอมทอด รสชาติอาหารผมให้ผ่านครับอร่อยดี ส่วนเรื่องราคากลางๆครับ








มื้อเช้าของรีสอร์ท เน้นขนมปัง แยม โฮมเมด ผลไม้  แต่ว่าก็มีกระเพราให้ผมได้ลิ้มลอง 
















บรรยากาศ 8.5/10
การบริการ 9.5/10
ความคุ้มค่า 7.5/10 
อาหารเช้า 7.5/10
ทำเลที่ตั้ง 8/10


ติดตามการเดินทางได้ที่ www.facebook.com/meesookde