บันทึกความทรงจำดีดี กับสถานที่ท่องเที่ยวที่น้อยคนนักที่จะได้สัมผัส ถ้ำแก้ว
ย้อนไปเมื่อ พ.ศ. 2547 หรือเมื่อ 11 ปีที่แล้ว สมัยที่ผมยังทำงานเป็นพนักงานจ้างที่ อบต.หมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ในตอนนั้นได้มีโอกาสรับผิดชอบงานด้านส่งเสริมการท่องเที่ยว
เนื่องจาก อบต.หมูสี เป็นพื้นที่ติดกับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จึงมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติหลาย ๆ แห่งที่น่าสนใจ ผมเลยมีความคิดว่าเราน่าจะทำการออกสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวที่ยังซ่อนตัวอยู่ตามธรรมชาติในพื้นที่ของเรา ให้เป็นที่รู้จักแก่นักท่องเที่ยวโดยทั่วไป จึงชักชวนเพื่อน ๆ ในสำนักงาน ฯ จัดทีมออกสำรวจกัน มีด้วยกันหลาย Trip ครับ ซึ่ง Trip แรก คือ ถ้ำแก้ว และผมได้ทำรายงานเสนอผู้บริหารท้องถิ่นเอาไว้ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่มีใครมองเห็นประโยชน์ของรายงานฉบับนั้น ในไม่ช้ามัน ก็ถูกลืมไป
แต่โชคดีที่ผมได้มีโอกาสรู้จักกับน้องมี่ ซึ่งเป็นเจ้าของบล็อก Alone Travel ผมเลยได้มีโอกาสเล่าประสบการณ์ท่องเที่ยวให้น้องเค้าฟัง จึงเป็นที่มาของการรีวิวแหล่งท่องเที่ยวชิ้นแรกในชีวิตของผมขึ้น แต่ก็ไม่วายที่จะต้องพบกับอุปสรรค์ เนื่องจากไฟล์ที่ผมเก็บไว้ในแผ่นซีดีที่มีทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เมื่อสิบปีที่แล้ว ได้เสื่อมสภาพไปตามการเวลากับแผ่นซีดีของผมถึงแม้จะเก็บไว้อย่างดีก็ตาม แต่ก็ยังโชคดีที่ยังพอมีบางภาพที่ผมสำรองข้อมูลไว้ในฮาร์ดดิส กับความทรงจำที่ยังสามารถนำมาถ่ายทอดให้กับทุกท่านได้ทราบ
เกริ่นมาซะยืดยาวเพราะต้องเล่าที่มาที่ไปให้ทุกท่านได้ทราบกันก่อนนะครับว่าบางทีรูปอาจจะน้อยเกินไป ไว้ถ้าท่านใดสนใจก็ขอเชิญไปเที่ยวกันได้นะครับ
ถ้ำแก้ว ตั้งอยู่ที่ สำนักสงฆ์ถ้ำแก้ว หมู่บ้านเกาะแก้ว หมู่ที่ 14 ถนนสายบ้านบุ่งเตย-คลองดินดำ ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
ทีมสำรวจใช้เวลาในการสำรวจตั้งแต่ 08.00 น. เสร็จอีกทีก็ปาเข้าไป 20.00 น. ความพิเศษของถ้ำแก้วนั้นก็คือเป็นถ้ำใต้ดิน มีด้วยกันนับสิบถ้ำ ความสวยงานของแต่ละถ้ำนั้นมีความแตกต่างกันไปครับ
เมื่อเดินทางไปถึงภายในสำนักสงฆ์ถ้ำแก้ว เราก็แวะไปสักการะพระพุทธรูปบริเวณทางขึ้นกุฏิหลวงพ่อ ซึ่งผมได้มนัสการท่านไว้ก่อนหน้านี้ โดยให้ท่านเป็นผู้นำทาง ถ้าแรกที่หลวงพ่อท่านพาไปก็จะเป็นถ้ำที่อยู่ใกล้ๆกับที่พักสงฆ์มากที่สุด เป็นถ้ำที่ไม่ลึกมาก ท่านมักเข้ามานั่งวิปัสสนา หลังจากนั้นต้องเดินขึ้นเขาไประหว่างทางก็จะมีหินงอกรูปทรงต่าง ๆ ตามจินตนาการ อาทิ หินรูปเต่า หินนมสาว
พอเดินขึ้นเขามาได้ระยะทางประมาณ 800 เมตร ก็จะพบกับถ้ำที่สอง บริเวณปากถ้ำค่อนข้างแคบต้องปีนลงไปจะพบกับทางเดินแคบๆ ต้องตะแคงตัวเดินถึงจะผ่านเข้าไปได้ ภายในเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ตรงกลางห้องโถงจะมีหินงอกเป็นลักษณะคล้ายกระทะใบใหญ่ตั้งอยู่กลางห้องเอามือเคาะดูแล้วมีเสียงกังวาลคล้ายระฆัง
ถ้ำต่อมาจะต้องปีนช่องเขาขึ้นไป ดังนั้นการแต่งกายจึงต้องรัดกุม เนื่องจากท่านจะต้องปีนเขา มุดถ้ำ ดำน้ำ ซึ่งรับรองว่าท่านที่ชื่นชอบกิจกรรมในลักษณะนี้ต้องประทับใจแน่นอนครับ พอปีนเขาขึ้นไปเราก็จะพบกับหุบเขาที่เราต้องปีนลงไปในปากถ้ำอีกทีหนึ่ง ซึ่งเราจะปีนลงไปตามเถาวัลย์ และต้นกวาวเครือขนาดใหญ่ ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก ภายในถ้ำนี้จะมีความ ชุ่มชื้นมากเป็นพิเศษ เนื่องจากบริเวณปากถ้ำมีลักษณะเป็นหุบเขาที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากตามเถาวัลย์จะมีตะไคร้น้ำขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก
หลังจากเราปีนขึ้นมาจากปล่องถ้ำแล้ว เราต้องเดินอ้อมลงเข้ากลับไปที่พักสงฆ์ด้านล่าง เพื่อพักรับประทานอาหารมื้อเที่ยง ซึ่งก็ปาเข้าไปประมาณ 14.30 น. แล้ว ในตอนนั้นทุกคนเนื้อตัวมอมแมน และหิวข้าวกันแล้วครับ ซึ่งผมจำได้ว่ามื้อกลางวันมื้อนั้นเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดมื้อหนึ่งในชีวิต
พักได้หนึ่งชั่วโมงเราจึงเดินทางออกสำรวจถ้ำต่อไป เป็นถ้ำที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน คล้ายอุโมงค์น้ำทอดยาวเป็นระยะทางเกือบ 1 กิโลเมตร บริเวณพื้นถ้ำมีความชื้นแฉะตลอดทาง บางช่วงมีน้ำท่วมขังต้องลุยน้ำเข้าไป ในน้ำมีความใส และเย็นมากครับ ที่ประทับใจคือมีฝูงปลาอาศัยอยู่ภายในถ้ำแห่งนี้ด้วย ผมจึงถามหลวงพ่อว่าทางเดินสุดทางนี้ไปโผล่ที่ไหน ก็ได้รับคำตอบว่าปลายถ้ำแห่งนี้ไปโผล่ที่คลองท้ายหมู่บ้าน ถ้าหน้าฝนก็จะมีน้ำเต็มถ้ำ พอน่าแล้งก็จะมีน้ำอยู่บางช่วง ซึ่งทำให้เราสามารถเดินเข้ามาลึกได้พอสมควร เราเดินลุยน้ำได้สักพักก็รู้สึกว่าเริ่มจะลึกขึ้นเรื่อย ๆ จึงตัดสินใจไม่ไปต่อ เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดอันตรายขึ้น จึงกลับออกมา เพื่อเดินทางสำรวจถ้ำต่อไป คราวนี้เป็นถ้ำหินงอกหินย้อยที่มีความงดงามมากครับ
แต่เรามากดเหล็กว่าห้ามจับ ห้ามลูบ ห้ามคลำเด็ดขาด เนื่องจากพวกเราอยากให้คงสภาพความเป็นธรรมชาติอย่างที่มันควรจะเป็น เราเอาแค่ความทรงจำดีดีกลับไปก็เพียงพอแล้วครับ แต่ผมว่าถ้ำนี้เป็นถ้ำที่โหดสุดครับ เพราะเพราะบางช่วงต้องมุดเข้าไปในลักษณะคลานราบซะเป็นส่วนใหญ่จนผมเริ่มรู้สึกว่ามุดต่อไม่ไหวแล้ว แต่พอได้ยินเสียงจากเพื่อน ๆ ตะโกนออกมาว่าถ้ำมีความสวยงามมาก มันก็ทำให้เราอยากไปต่อ เลยมุคลานต่อไป ซึ่งกะระยะคร่าว ๆ ก็น่าจะประมาณสัก 10 -15 เมตร แต่ผมตัวอ้วนกลมจึงเป็นอุปสรรคกว่าเพื่อน ต้องคลานราบปากแทบติดพื้นถ้ำ เพื่อน ๆ ก็เชียว่าอีกนิดเดียว นึกในใจมันทำไมหลายนิดจัง จนผ่านเข้าไปได้ ข้างในเป็นห้องไม่ใหญ่มากครับ แต่ก็เพียงพอที่เราสามารถที่จะลุกขึ้นนั่งได้ ด้วยความสวยงามจากหินงอกหินย้อยมันช่างทำให้เราเพลิดเพลินเหลือเกิน จนทำให้เราลืมความเหน็ดเหนื่อยไปโดยสิ้นเชิง เราใช้เวลาอยู่ในห้องนี้นานพอสมควรครับ เนื่องจากต้องการเก็บภาพให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะทางเข้ามาแสนจะทรหดเหลือเกิน
เราออกมาจากถ้ำสุดท้าย ต้องตกใจเมื่อมองดูนาฬิกา ที่ปาเข้าไปร่วม 2 ทุ่มแล้วครับ ซึ่งจริง ๆ แล้วหลวงพ่อท่านบอกว่ายังเหลืออีกหลายถ้ำ แต่ด้วยเวลาอันสมควรบวกกับร่างกายของเราที่เริ่มรู้สึกว่าอ่อนเพลียกันเต็มที จึงลงความเห็นกันว่าคงสิ้นสุดการสำรวจแค่ประมาณ 8 ถ้ำ จากทั้งหมดสิบกว่าถ้ำ เวลากับความทรงจำทั้งหมดที่นำมารีวิวครั้งนี้อาจขาดรายละเอียดไปบ้างนะครับ อย่างเช่นชื่อของถ้ำแต่ละถ้ำ ซึ่งผมจำไม่ได้จริง ๆ
สุดท้ายก็หวังว่าทุกท่านจะได้ประโยชน์จากรีวิวครั้งนี้บ้างนะครับ ขอขอบคุณเพื่อน ๆ คณะสำรวจทุกคน ขอกราบนมัสการหลวงพ่อด้วยความเคารพ