วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ถ้ำแก้ว สถานที่ที่น้อยคนนักที่จะได้สัมผัส

บันทึกความทรงจำดีดี กับสถานที่ท่องเที่ยวที่น้อยคนนักที่จะได้สัมผัส ถ้ำแก้ว 



ย้อนไปเมื่อ พ.ศ. 2547 หรือเมื่อ 11 ปีที่แล้ว สมัยที่ผมยังทำงานเป็นพนักงานจ้างที่ อบต.หมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ในตอนนั้นได้มีโอกาสรับผิดชอบงานด้านส่งเสริมการท่องเที่ยว 


เนื่องจาก อบต.หมูสี เป็นพื้นที่ติดกับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จึงมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติหลาย ๆ แห่งที่น่าสนใจ ผมเลยมีความคิดว่าเราน่าจะทำการออกสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวที่ยังซ่อนตัวอยู่ตามธรรมชาติในพื้นที่ของเรา ให้เป็นที่รู้จักแก่นักท่องเที่ยวโดยทั่วไป จึงชักชวนเพื่อน ๆ ในสำนักงาน ฯ จัดทีมออกสำรวจกัน มีด้วยกันหลาย Trip ครับ ซึ่ง Trip แรก คือ  ถ้ำแก้ว  และผมได้ทำรายงานเสนอผู้บริหารท้องถิ่นเอาไว้ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่มีใครมองเห็นประโยชน์ของรายงานฉบับนั้น ในไม่ช้ามัน ก็ถูกลืมไป 



แต่โชคดีที่ผมได้มีโอกาสรู้จักกับน้องมี่ ซึ่งเป็นเจ้าของบล็อก Alone Travel ผมเลยได้มีโอกาสเล่าประสบการณ์ท่องเที่ยวให้น้องเค้าฟัง จึงเป็นที่มาของการรีวิวแหล่งท่องเที่ยวชิ้นแรกในชีวิตของผมขึ้น แต่ก็ไม่วายที่จะต้องพบกับอุปสรรค์ เนื่องจากไฟล์ที่ผมเก็บไว้ในแผ่นซีดีที่มีทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เมื่อสิบปีที่แล้ว ได้เสื่อมสภาพไปตามการเวลากับแผ่นซีดีของผมถึงแม้จะเก็บไว้อย่างดีก็ตาม แต่ก็ยังโชคดีที่ยังพอมีบางภาพที่ผมสำรองข้อมูลไว้ในฮาร์ดดิส กับความทรงจำที่ยังสามารถนำมาถ่ายทอดให้กับทุกท่านได้ทราบ 


เกริ่นมาซะยืดยาวเพราะต้องเล่าที่มาที่ไปให้ทุกท่านได้ทราบกันก่อนนะครับว่าบางทีรูปอาจจะน้อยเกินไป ไว้ถ้าท่านใดสนใจก็ขอเชิญไปเที่ยวกันได้นะครับ


ถ้ำแก้ว  ตั้งอยู่ที่ สำนักสงฆ์ถ้ำแก้ว หมู่บ้านเกาะแก้ว หมู่ที่ 14 ถนนสายบ้านบุ่งเตย-คลองดินดำ ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 


ทีมสำรวจใช้เวลาในการสำรวจตั้งแต่ 08.00 น. เสร็จอีกทีก็ปาเข้าไป 20.00 น. ความพิเศษของถ้ำแก้วนั้นก็คือเป็นถ้ำใต้ดิน มีด้วยกันนับสิบถ้ำ ความสวยงานของแต่ละถ้ำนั้นมีความแตกต่างกันไปครับ


เมื่อเดินทางไปถึงภายในสำนักสงฆ์ถ้ำแก้ว เราก็แวะไปสักการะพระพุทธรูปบริเวณทางขึ้นกุฏิหลวงพ่อ ซึ่งผมได้มนัสการท่านไว้ก่อนหน้านี้ โดยให้ท่านเป็นผู้นำทาง ถ้าแรกที่หลวงพ่อท่านพาไปก็จะเป็นถ้ำที่อยู่ใกล้ๆกับที่พักสงฆ์มากที่สุด เป็นถ้ำที่ไม่ลึกมาก ท่านมักเข้ามานั่งวิปัสสนา หลังจากนั้นต้องเดินขึ้นเขาไประหว่างทางก็จะมีหินงอกรูปทรงต่าง ๆ ตามจินตนาการ อาทิ หินรูปเต่า หินนมสาว 



พอเดินขึ้นเขามาได้ระยะทางประมาณ 800 เมตร ก็จะพบกับถ้ำที่สอง บริเวณปากถ้ำค่อนข้างแคบต้องปีนลงไปจะพบกับทางเดินแคบๆ ต้องตะแคงตัวเดินถึงจะผ่านเข้าไปได้ ภายในเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ตรงกลางห้องโถงจะมีหินงอกเป็นลักษณะคล้ายกระทะใบใหญ่ตั้งอยู่กลางห้องเอามือเคาะดูแล้วมีเสียงกังวาลคล้ายระฆัง 

ถ้ำต่อมาจะต้องปีนช่องเขาขึ้นไป ดังนั้นการแต่งกายจึงต้องรัดกุม เนื่องจากท่านจะต้องปีนเขา มุดถ้ำ ดำน้ำ ซึ่งรับรองว่าท่านที่ชื่นชอบกิจกรรมในลักษณะนี้ต้องประทับใจแน่นอนครับ พอปีนเขาขึ้นไปเราก็จะพบกับหุบเขาที่เราต้องปีนลงไปในปากถ้ำอีกทีหนึ่ง ซึ่งเราจะปีนลงไปตามเถาวัลย์ และต้นกวาวเครือขนาดใหญ่ ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก ภายในถ้ำนี้จะมีความ    ชุ่มชื้นมากเป็นพิเศษ เนื่องจากบริเวณปากถ้ำมีลักษณะเป็นหุบเขาที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากตามเถาวัลย์จะมีตะไคร้น้ำขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก


หลังจากเราปีนขึ้นมาจากปล่องถ้ำแล้ว เราต้องเดินอ้อมลงเข้ากลับไปที่พักสงฆ์ด้านล่าง เพื่อพักรับประทานอาหารมื้อเที่ยง ซึ่งก็ปาเข้าไปประมาณ 14.30 น. แล้ว ในตอนนั้นทุกคนเนื้อตัวมอมแมน และหิวข้าวกันแล้วครับ ซึ่งผมจำได้ว่ามื้อกลางวันมื้อนั้นเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดมื้อหนึ่งในชีวิต 


พักได้หนึ่งชั่วโมงเราจึงเดินทางออกสำรวจถ้ำต่อไป เป็นถ้ำที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน คล้ายอุโมงค์น้ำทอดยาวเป็นระยะทางเกือบ 1 กิโลเมตร บริเวณพื้นถ้ำมีความชื้นแฉะตลอดทาง บางช่วงมีน้ำท่วมขังต้องลุยน้ำเข้าไป ในน้ำมีความใส และเย็นมากครับ ที่ประทับใจคือมีฝูงปลาอาศัยอยู่ภายในถ้ำแห่งนี้ด้วย ผมจึงถามหลวงพ่อว่าทางเดินสุดทางนี้ไปโผล่ที่ไหน ก็ได้รับคำตอบว่าปลายถ้ำแห่งนี้ไปโผล่ที่คลองท้ายหมู่บ้าน ถ้าหน้าฝนก็จะมีน้ำเต็มถ้ำ พอน่าแล้งก็จะมีน้ำอยู่บางช่วง ซึ่งทำให้เราสามารถเดินเข้ามาลึกได้พอสมควร เราเดินลุยน้ำได้สักพักก็รู้สึกว่าเริ่มจะลึกขึ้นเรื่อย ๆ จึงตัดสินใจไม่ไปต่อ เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดอันตรายขึ้น จึงกลับออกมา เพื่อเดินทางสำรวจถ้ำต่อไป คราวนี้เป็นถ้ำหินงอกหินย้อยที่มีความงดงามมากครับ 


แต่เรามากดเหล็กว่าห้ามจับ ห้ามลูบ ห้ามคลำเด็ดขาด เนื่องจากพวกเราอยากให้คงสภาพความเป็นธรรมชาติอย่างที่มันควรจะเป็น เราเอาแค่ความทรงจำดีดีกลับไปก็เพียงพอแล้วครับ แต่ผมว่าถ้ำนี้เป็นถ้ำที่โหดสุดครับ เพราะเพราะบางช่วงต้องมุดเข้าไปในลักษณะคลานราบซะเป็นส่วนใหญ่จนผมเริ่มรู้สึกว่ามุดต่อไม่ไหวแล้ว แต่พอได้ยินเสียงจากเพื่อน ๆ ตะโกนออกมาว่าถ้ำมีความสวยงามมาก มันก็ทำให้เราอยากไปต่อ เลยมุคลานต่อไป ซึ่งกะระยะคร่าว ๆ ก็น่าจะประมาณสัก 10 -15 เมตร แต่ผมตัวอ้วนกลมจึงเป็นอุปสรรคกว่าเพื่อน ต้องคลานราบปากแทบติดพื้นถ้ำ เพื่อน ๆ ก็เชียว่าอีกนิดเดียว นึกในใจมันทำไมหลายนิดจัง จนผ่านเข้าไปได้ ข้างในเป็นห้องไม่ใหญ่มากครับ แต่ก็เพียงพอที่เราสามารถที่จะลุกขึ้นนั่งได้ ด้วยความสวยงามจากหินงอกหินย้อยมันช่างทำให้เราเพลิดเพลินเหลือเกิน จนทำให้เราลืมความเหน็ดเหนื่อยไปโดยสิ้นเชิง เราใช้เวลาอยู่ในห้องนี้นานพอสมควรครับ เนื่องจากต้องการเก็บภาพให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะทางเข้ามาแสนจะทรหดเหลือเกิน 


เราออกมาจากถ้ำสุดท้าย ต้องตกใจเมื่อมองดูนาฬิกา ที่ปาเข้าไปร่วม 2 ทุ่มแล้วครับ ซึ่งจริง ๆ แล้วหลวงพ่อท่านบอกว่ายังเหลืออีกหลายถ้ำ แต่ด้วยเวลาอันสมควรบวกกับร่างกายของเราที่เริ่มรู้สึกว่าอ่อนเพลียกันเต็มที จึงลงความเห็นกันว่าคงสิ้นสุดการสำรวจแค่ประมาณ 8 ถ้ำ จากทั้งหมดสิบกว่าถ้ำ เวลากับความทรงจำทั้งหมดที่นำมารีวิวครั้งนี้อาจขาดรายละเอียดไปบ้างนะครับ อย่างเช่นชื่อของถ้ำแต่ละถ้ำ ซึ่งผมจำไม่ได้จริง ๆ  



สุดท้ายก็หวังว่าทุกท่านจะได้ประโยชน์จากรีวิวครั้งนี้บ้างนะครับ ขอขอบคุณเพื่อน ๆ คณะสำรวจทุกคน ขอกราบนมัสการหลวงพ่อด้วยความเคารพ 




วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

หินตกริเวอร์แคมป์

นอนเต้นท์หรู ดูวิวเทพ ราคาไม่แรง ที่หินตกริเวอร์แคมป์



กาญจนบุรีเป็นจังหวัดหนึ่งที่ใครหลายๆคนมักเดินทางไปเที่ยว ผมเองก็เช่นกัน ด้วยเหตุผลตือ ไม่ไกลกรุงเทพฯ ค่าครองชีพไม่แพง มีความหลากหลายในการท่องเที่ยวและมีที่พักให้เลือกเยอะมากมาย
นี่คือการเดินทางมาพักผ่อนที่กาญจนบุรีอีกหนึ่งครั้งของผม แต่ขอบอกเลยว่าที่แห่งนี้ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนและเจอด้วยความบังเอิญจากการอยากนอนเต้นท์ริมแม่น้ำ

หินตกริเวอร์แคมป์ เป็นที่พักทำเลทองอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรีเพราะตั้งอยู่ติดแม่น้ำในเขตที่เงียบสงบใกล้ช่องเขาขาด ว่าแล้วเดินทางมาพร้อมกันเลยครับ


เริ่มเดินทางจาก กทม.ด้วยถนนบรมราชชนนี ต่อด้วยถนนเพชรเกษมผ่านนครปฐม เข้าบ้านโป่ง ถนนแสงชูโตถึงกาญจนบุรี มุ่งหน้าไปช่องเขาขาด เพราะอยู่ไม่ไกลกันสักเท่าไร เส้นทางเป็นถนนปูนแบบรถพอสวนกันได้ 



บรรยากาศเมื่อเดินทางเข้ารีสอร์ท ให้ความรู้สึกเหมือนแคมป์ เพราะมีรถทหารเก่าและซุ้มประตูที่เป็นเหมือนค่าย เมื่อเข้าไปถึงก็แจ้งชื่อเข้าพัก พนักงานยิ้มแย้มแจ่มใสดีครับ พร้อมบริการเวลคัมดริ้งค์และพาเดินไปที่ห้องพัก

ห้องพักเป็นเต้นท์นอนขนาดใหญ่มีแอร์และห้องน้ำส่วนตัว พื้นของที่พักเป็นลักษณะคล้ายไม้สาน ช่วยที่ผมไปมีฝนนิดๆทำให้บรรยากาศชื่นๆเย็นสบาย 

จุดเด่นของที่นี่คือ แพที่ลอยอยู่ริมน้ำกับบรรยากาศที่เรียกได้ว่าชิลสุดยอด ถือว่าเป็นวิวเทพ ที่หาได้ยากอีกที่หนึ่งและจุดเด่นอีกหนึ่งอย่างคือสระว่ายน้ำธรรมชาติที่ดำเอาน้ำแม่น้ำมาใส่ไว้ในสระ







รสชาติอาหารที่นี่ถือว่าถูกปาก 



ความสะอาด ให้ 7/10

ความสะดวกสบาย ให้ 7/10

ความปลอดภัย ให้ 8/10

การบริการ ให้ 8/10

ทำเลที่ตั้ง ให้ 10/10

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

จับเกาหลีมาจุ่มชีส SARANGHAE



เพิ่งได้เห็นคนลงรูปเนื้อย่างแบบเกาหลี จุ่มชีส จิ้มชีส แช่ชีส (หรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียก เอาที่สบายใจ)  ผมก็เลยคิดว่า ถ้ามีโอกาสขอลองสักครั้ง อยากรู้จริงๆว่ารสชาติเป็นยังไง 

เริ่มเลยละกันจากการหาเบอร์โทรร้านแล้วก็โทรจองแต่ร้านนี้ไม่รับจองโต๊ะนะครับ ใครอยากกินต้องไปที่หน้าร้าน งานนี้แล้วแต่ดวงว่าจะรอคิวนานแค่ไหน ส่วนผมโชคดีมีโต๊ะนั่งเลย 



เปิดดูเมนูมีทั้งแบบสั่งเป็นชุดและสั่งเฉพาะเนื้อที่อยากกินและยังมีอาหารเกาหลีอีกหลายอย่างให้เลือก ส่วนของผมเมนูวันนี้คือ ชุดสำหรับคนกินเนื้อที่เรียกได้ว่าน่าจะเด็ดที่สุดของร้านเพราะราคาแพงสุด คือ 1,500 บาท รวมชีสไข่ เครื่องเคียงอีก 4 อย่าง มีเนื้อให้เลือก 7 ชนิด แต่เราสามารถเลือกได้ 4 ชนิด ผมเลือกเนื้อสันคอ เนื้อซี่โครง เนื้อส่วนท้อง เนื้อช่วงอก


ชุดเนื้อที่สั่งราคา 1,500 บาท

และมีเมนูที่สั่งเพิ่มคือ ยำเนื้อดิบ ข้าวยำเกาหลี 


ข้าวยำเกาหลี มีพนักงานช่วยยำให้ด้วย

ยำเนื้อสด ถือว่าเด็ด ไม่มีกลิ่นคาว

เริ่มมื้อนี้ด้วยการที่พนักงานยกอุปกรณ์เข้าประจำที่เปิดไฟแล้วเทไข่ที่ปรุงรสอารมณ์ไข่ตุ๋นลงในช่องโค้ง แล้วก็จัดการนำเนื้อลงย่างขณะที่พนักงานกำลังย่างอยู่นั้นผมก็เอามือเอื้อมหยิบชีสเพื่อที่จะใส่พนักงานรีบบอกอย่างไวว่า อย่าเพิ่งค่ะ รอให้เนื้อใกล้สุกก่อนทีแรกก็งงว่าเพราะอะไร แต่พอนั่งกินไปสักพักจะรู้(ลองไปหาคำตอบเอานะครับ)


ปุ่มกดเรียกพนักงานแต่ผมไม่ได้ใช้เพราะมีพนักงานเดินมาดูตลอด

ชีสไว้ใส่ตอนที่เนื้อใกล้สุก

ไข่ปรุงรส

ผักสดไว้สำหรับห่อเนื้อย่าง

ผักเครื่องเคียง

ชีส

ถั่วงอก

กิมจิ

ผักอะไรสักอย่าง

ผักกาดหอมราดน้ำสลัดงา

น้ำจิ้มหวานแบบเกาหลี

น้ำจิ้ม

ไข่เริ่มสุกแล้ว

ชีส

ไข่ปรุงรส

จุ่มชีส


เรื่องรสชาติขอบอกครับว่าแล้วแต่คนชอบจะถูกปากขนาดไหนคงต้องลอง ที่แน่ๆคือได้ความแปลกจากการจุ่มชีส 

สถานที่ 8/10
การบริการ 9/10
รสชาติ 8/10
ความคุ้มค่า 7/10
ความสะอาด 8/10

Saranghae Sukhumvit39 Open 11.00-23.30 (No Break Time) Tel.02 259 5272
ซารางแฮ สุขุมวิท39 เปิดบริการ 11.00-23.30 น. (ไม่มีพักเบรกแล้วนะคะ) โทร .02 259 5272


เทศกาลท่องเที่ยวดอกกระเจียวบาน

ขอเชิญทุกท่านร่วม 
หยิบหมอก หยอกดอกกระเจียว 
เทศกาลท่องเที่ยวดอกกระเจียวบาน จังหวัดชัยภูมิ ประจำปี 2558 
ในระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 31 สิงหาคม 2558 
ณ อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม อ.เทพสถิต และ อุทยานแห่งชาติไทรทอง อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ

กิจกรรมที่จัดต้อนรับฤดูฝน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับชุมชนในท้องที่สามารถสร้างการรับรู้ให้กับนักท่องเที่ยว และผู้ที่สนใจทั่วไปที่เดินทางมาเยือนดินแดนชัยภูมิ ความพิเศษและกิจกรรมที่จัดขึ้น อาทิ พิธีเปิดงานที่ยิ่งใหญ่ ในวันที่ 13 มิถุนายน 2558 เวลาประมาณ 08.30 น.เป็นต้นไป ขบวนแห่กระเจียวคืนทุ่ง การแสดงดนตรีจากศิลปินที่มีชื่อเสียงชมสวนหินงาม ป่าหินล้านปีที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติปั้นแต่งตามแต่จะสุดจินตนาการ การแสดง และจำหน่ายสินค้าที่มีชื่อเสียงของจังหวัดชัยภูมิ สนุกสนานไปกับกิจกรรม คาราวานรถยนต์ท่องเที่ยว หยิบหมอก หยอกดอกกระเจียว ที่จัดขึ้นโดย หอการค้าจังหวัดชัยภูมิ ในวันที่ 20 - 21 มิถุนายน 2558 และการแข่งขันจักรยานชิงถ้วยพระราชทานฯสมเด็จพระเทพฯ เส้นทางจากตัวเมืองชัยภูมิ  ทุ่งดอกกระเจียว รวมระยะทาง 111 กิโลเมตร อีกทั้งทุ่งดอกกระเจียวสีขาว สีเขียวและสีชมพูอมม่วง น้ำตกไทรทอง และจุดชมวิว ผาหำหดของอุทยานแห่งชาติไทรทอง ก็เป็นอีกสถานที่ที่รอการมาเยือนของนักท่องเที่ยวให้เดินทางท่องเที่ยวด้วยหัวใจใหม่ อันจะส่งผลให้การท่องเที่ยวของจังหวัดชัยภูมิยั่งยืนได้

สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 
ประชาสัมพันธ์จังหวัดชัยภูมิ โทร. 0 4482 2502 
ศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว อบจ.ชัยภูมิ โทร. 0 4481 1376 
ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดชัยภูมิ โทร. 0 4481 1218 
อำเภอเทพสถิต โทร. 0 4485 7105 
อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม โทร. 0 4405 6141 - 2 
อุทยานแห่งชาติไทรทอง โทร. 08 9282 3437


EMS 1669 มีแอพนี้ไว้อุ่นใจเสมอ



สำหรับนักท่องเที่ยวหรือคนชอบเดินทางอย่างเราๆ บางทีก็ได้มีโอกาสเจอกับอุบัติเหตุในสถานที่ต่างๆทั้งที่เรารู้จักสถานที่และไม่รู้จัก วันนี้ผมมีแอพพอเคชั่นมาฝากเพื่อความอุ่นใจในการเดินทางเพราะแอพนี้จะมีพิกัดบอกในแผนที่โดยที่เราไม่ต้องกังวลว่าจะบอกผิดหรือไม่ แอพพิเคชั่นนี้คือ 

 EMS1669 คือหากพบเห็นผู้บาดเจ็บหรือผู้ป่วยฉุกเฉิน เพียงแค่กดเรียกรถพยาบาล จากนั้นระบบจะให้ผู้แจ้งเหตุบันทึกประวัติส่วนตัว อาทิ ชื่อผู้แจ้ง เบอร์ติดต่อกลับ และระบบแจ้งพิกัดที่เกิดเหตุฉุกเฉินไปยังสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ศูนย์สั่งการรู้พิกัดจุดเกิดเหตุได้อย่างแม่นยำเพื่อส่งทีมกู้ชีพออกปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ผู้แจ้งเหตุยังสามารถแนบไฟล์ภาพเหตุการณ์ เพื่อแจ้งสถานการณ์เพิ่มเติมได้ด้วย รวมทั้งสามารถแจ้งเหตุเพิ่มเติมผ่านการสนทนากับศูนย์สั่งการได้อีกด้วย

ดังนั้นอย่าลืมดาวน์โหลดติดโทรศัพท์มือถือไว้ เพราะเราไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าอุบัติเหตุหรืออาการบาดเจ็บฉุกเฉินจะเกิดขึ้นเมื่อใด