วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558

สะบายดี หลวงพระบาง

ใครๆก็สะบายดี หลวงพระบาง


น้ำตกตาดกวางสี

ในที่สุดก็มีเวลามานั่งดูรูปและเรื่อง(ลาว)ที่จะเขียนสักที เดินทางไปตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2557 อาจเรทไปสักนิดแต่รูปแน่น บอกเลย

หลวงพระบางเป็นเมืองหนึ่งที่นักท่องเที่ยวตั้งเป้าไว้ว่าจะขอเดินทางไปสักครั้ง ผมเองก็เช่นกัน จากที่ตั้งเป้านานเป็นปี "เพราะหนังเรื่องสะบายดีหลวงพระบาง" ในที่สุดก็ได้โอกาสเดินทางไปเค้าท์ดาวน์ช่วงปีใหม่

บางคนบอกว่าไปหลวงพระบางใช้เงินเยอะ โดยเฉพาะค่าเดินทาง ค่าตั๋วอย่างเดียวไปเที่ยวเกาหลีญี่ปุ่นได้เลย อันนี้จริงครับไม่เถียง แต่ว่ายังไงก็คนละที่กันอยู่ดีและการเดินทางไปหลวงพระบางก็มีตั้งหลายวิธี

คือ การนั่งรถทัวร์จากไทยไปหนองคาย เวียงจันทน์ ต่อรถไปหลวงพระบาง ซึ่งต้องนั่งกันเมื่อย บางคนก็นั่งจากวังเวียงชนิดที่เรียกว่าข้ามคืน บางคนก็ขับรถจากไทย บางคนก็นั่งเครื่องลงเวียงจันทน์แล้วต่อรถ ส่วนผมยอมย่นเวลาด้วยการจ่ายแพงนิดแต่ใช้เวลาน้อย
คือการนั่งเครื่องบิน บินตรงลงสนามบินหลวงพระบาง ซึ่งใช้เวลาแค่ชั่วโมงนิดๆ

เรามาเดินทางไปหลวงพระบางพร้อมกันเลยครับ
วันแรกของการเดินทาง 31 ธันวาคม 2557 

14.00น. หลังจากที่กระเป๋าเดินทางและอุปกรณ์ต่างๆพร้อม ก็เรียกแท็กซี่ด้วย App รอบนี้ลองใช้บริการของ Grab Taxi ครับ รอไม่นานที่สำคัญไม่ต้องเสียเวลาไปยืนโบกรถแล้วลุ้นว่าจะไปสนามบินไหม เรียกว่าทริปนี้เอาสบาย


ใช้เวลาไม่นานนักผมก็ถึงสนามบิน และวันที่ผมเดินทางคือวันที่ 31 ธันวาคม ช่วงบ่าย ผู้โดยสารที่สนามบินเลยไม่เยอะเท่าไร อ่อลืมบอกว่าทริปนี้เดินทางด้วยสายการบิน Bangkok Airways เพราะฉะนั้นผมก็ต้องเดินไปเช็คอินที่เคาท์เตอร์ก่อนเพื่อโหลดกระเป๋า 




จากนั้นก็ผ่านจุดตรวจอาวุธและด่านตรวจคนออกเมือง ที่ด่านตรวจมีให้เลือกสองแบบคือ อัตโนมัติและแบบสแตมป์จากเจ้าหน้าที่ ส่วนตัวผมรอบนี้เลือกแบบสแตมป์ครับ 


เพราะเดินทางด้วยบางกอกแอร์เวย์ ก่อนขึ้นเครื่องต้องแวะไปที่เล้าจน์อย่างแน่นอน หาขนมรองทองแถมด้วยกาแฟสักแก้ว







15.30น. เวลาแห่งการบินลัดฟ้ามาถึงเครื่องขึ้นและนิ่งบนอากาศได้สักพัก แอร์สาวสวยก็เดินมาถามผมด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มว่า "สั่งอาหารซีฟู้ดใช่ไหมคะ?" (ผมสั่งผ่านตอนจองตั๋วผ่านอินเตอร์เน็ต) และแอร์ก็เดินไปหยิบอาหารมาเสิร์ฟ ได้อาหารก่อนใครดูเหมือนเป็นคนสำคัญแต่ป่าวเลย ฮ่าๆๆๆ


อาหารมื้อที่ทานสูงที่สุด บนความสูง 30,000 ฟุต มั๊ง...


เปิดดูหน้าตาอาหารเป็นปลาและกุ้งเสิร์ฟมาพร้อมกับผักสลัด แต่ที่นั่งข้างๆผม อาหารมาทีหลังเป็นห่อหมกปลากราย ผมนี่แทบอยากเปลี่ยนเลย! แต่ต้องขอบอกว่าข้อดีของสายการบินนี้แม้ว่าราคาจะค่อนข้างสูงแต่ไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มทั้งอาหารเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีครบเพลิดเพลิน


16.30น.เครื่องถึงสนามบินหลวงพระบางอย่างปลอดภัย ขอบอกว่าวิวบนเครื่องบินก่อนถึงสนามบินสวยมาก เห็นพระธาตุพูสีด้วย

เห็นพระธาตุจอมพูสีอยู่ไกลๆ
16.40น.รับกระเป๋าเดินทางและต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ยิ้มแย้มดีครับ มีทักทายกันและถามแค่ว่ามาเที่ยวกี่วันพักที่ไหน 


ลาว เทเลคอม ซิมอินเตอร์เน็ตแบบเติมเงิน
17.00น. มาถึงหลวงพระบางจะขาดโซเชียลมีเดียก็ไม่ได้ เลยต้องซื้อซิมเน็ตในสนามบิน ของลาวเทเลคอม ซึ่งเล่นเน็ตอย่างเดียวเท่านั้น ราคาเบาๆ 250 บาท แต่ขณะที่ซื้อซิมอยู่นั้น น้องของผมที่อยู่หลวงพระบางก็มารับพอดี งานนี้เลยมีคนนำทางเที่ยวแต่ไม่ตลอดทริป เกือบลืมครับว่าการแลกเงินมีที่สนามบินแค่เจ้าเดียวครับ และตอนนี้เขามีการรณรงค์ให้ใช้เงินลาว แต่เงินบาทไทยก็ยังสามารถใช้ซื้อของได้ โดยเฉพาะตลาดกลางคืนและรถเช่า


ชะโงกดูเมืองตอนกลางคืน

18.00น. เมื่อออกจากสนามบิน น้องแสง พาขับรถวนเที่ยวเมืองหลวงพระบางและหาที่พักที่เราจองไว้ ก่อนไปทานข้าวจากนั้นก็ถึงเวลามื้อแรกที่หลวงพระบาง เป็นอาหารพื้นเมืองแต่รสชาติถูกปรับให้ถูกปากมากขึ้น อย่างสลัดหลวงพระบาง ต้มข่า ปลาทอด แต่ที่เด็ดคือ ข้าวเหนียว ที่นี่ส่วนใหญ่จะทานเป็นข้าวเหนียวดำครับ


สลัดหลวงพระบาง
ต้มข่าไก่



     


20.30น. หัวเสือกระป๋องแรก ก็เริ่มขึ้นที่ลานงานฉลองปีใหม่ใกล้ถนนคนเดินหัวเสือก็คือเบียร์ลาว แต่คนที่นั่นเรียกว่าหัวเสือ ถ้าสั่งหัวเสือแก้วก็จะได้มาเป็นขวดครับ แต่บรรยากาศและอากาศกำลังเย็น

ได้ที่ ทำให้หัวเสือรสชาติชื่นใจและที่ลานก็มีการแสดงบนเวที ซึ่งยืนดูอยู่สักพัก พลุชุดแรกก็ถูกจุดขึ้นไปประดับแสงสีบนท้องฟ้าสวยงาม ถือว่าเป็นการต้อนรับที่ดีจริงๆ ฮ่าาาา

22.00น. ดูการแสดงเรื่อยๆเริ่มเมื่อย หัวเสือหมดไป 2 ขอเดินสักหน่อย ด้วยการเดินเที่ยวถนนคนเดินที่ตลาดใกล้วายแล้ว เพราะดึกไปสักหน่อย ถนนยาวประมาณ 1 กิโลเมตร ของที่ขายส่วนมากไม่ต่างกันเท่าไร เช่น เสื้อผ้าสกรีนลายชื่อหลวงพระบาง เสื้อชนเผ่า ผ้าทอ กระเป๋า งานไม้ ฯลฯ


ถนนคนเดิน
23.00น.เดินจากถนนคนเดินถึงหน้ารีสอร์ทมีกลุ่มและร้านเปิดเพลงตลอดงาน รวมถึงฝั่งตรงข้ามรีสอร์ท ก็มีการร้องคาราโอเกะด้วย เพลงส่วนมากเป็นเพลงไทยทั้งลูกทุ่ง เพื่อชีวิต มากันครบ อากาศเย็นๆประมาณ 10 องศานิดๆ นั่งหนาวฟังเพลงจิบหัวเสือ รอเข้าศักราชใหม่ ชีวิตชิลมากกก 

00.00น. พอได้เวลา เครื่องเสียงจากทุกๆที่ที่มีการฉลองวันปีใหม่ก็เริ่มนับ สิบ เก้า แปด ... สาม สอง หนึ่ง Happy New Year 2015 เป็นอันว่าเราเข้านอนได้ เพราะรุ่งเช้านัดน้องแสงไว้เพื่อเดินทางเที่ยวต่อ อ้อ ลืมบอกไปที่นี่ส่วนใหญ่เค้าชอบฟังเพลงไทย เพลงชักกระตุกนี่ฮิตมาก ได้ยินเป็นสิบๆรอบได้ ฮ่าๆๆๆ


วันที่สองของการเดินทาง




ตักบาตรเช้า

6.30น.ตื่นแต่เช้าล้างหน้าแปรงฟันแล้วรีบแต่งตัวออกไปตักบาตรเช้าในเมือง กับภาพที่วาดฝันพระจำนวนนับร้อยเดินบิณฑบาตร ปรากฏว่าเมื่อเราเดินไปถึงที่ก็เต็มซะแล้ว เพราะนักท่องเที่ยวเยอะมาก เลยต้องรอให้บางส่วนใส่บาตรเสร็จแล้วค่อยเข้าไปแทนที่ การตักบาตรที่นี่จะนิยมตักบาตรด้วยข้าวเหนียวในตอนเช้ามืดและช่วงสายๆถึงจะนำอาหารไปถวายที่วัด การเตรียมตัวไม่มีอะไรมากเพราะข้าวเหนียวสามารถหาซื้อได้ที่บริเวณตักบาตร จะมีผ้าคาดให้เรายืมด้วย ผู้หญิงนั่งผู้ชายยืน


มื้อเช้า

8.00น.อาหารเช้าวันนี้ง่ายๆเพราะเป็นมื้อเช้าที่รีสอร์ท เป็นแพนเค้ก ไข่ต้ม กาแฟและน้ำชา เพื่อเติมพลังในการเดินทาง

9.30น.น้องแสงมารับพร้อมเพื่อนร่วมเดินทางอีก 2 คนเพื่อไปถ้ำติ่ง การเดินทางรอบนี้แอบสบายนิดๆเพราะมีรถมารับเป็นรถกระบะ 4 ประตู เอาไว้ลุย ระหว่างทางออกเมืองน้องก็แวะร้านขายของทีแรกผมก็งงว่าแวะทำอะไร สุดท้ายหยิบหัวเสือมาให้อีกแล้วครับ แต่วันเลย เอามาแล้วกลัวเสียน้ำใจก็ชนกระป๋อง (ที่ลาวไม่ได้ห้ามดื่มขณะขับขี่)


ทางไปถ้ำติ่ง
11.30น.ถึงบริเวณจุดจอดรถ ซึ่งตรงนี้จะมีค่าที่จอดรถ เป็นเงินไทยประมาณ 60 บาท จากนั้นก็เดินเข้าหมู่บ้านซึ่งมีผ้าไหมผ้าทอและข้าวเกรียบย่างขายตลอดทาง แต่ก่อนที่จะข้ามเรื่องขอแวะกินข้าวก่อน ซึ่งร้านอาหารมีอยู่ 1 ร้านตรงทางลง เรียกได้ว่าเป็นร้านกึ่งผูกขาดสำหรับนักท่องเที่ยว ราคาอาหารแพง กินไม่มากหมดไป สามแสนกว่ากีบ (หมื่นกีบประมาณ40 บาท) แต่ไม่เป็นไรครับเราก็จะได้รู้ไว้




13.00น.อิ่มท้องก็ข้ามเรือเที่ยวถ้ำมีค่าข้ามเรือประมาณ 50 บาทและค่าเข้าชมอีก หนึ่งหมื่นกีบ ทางขึ้นเป็นหน้าผาที่ถูกน้ำกัดเซาะมีบันไดให้เดิน ภายในมีพระพุทธรูปจำนวนมาก จุดที่ไปจะแบ่งเป็นทางซ้ายและขวา ทางขวาจะใกล้เป็นเหมือนโพงที่น้ำกัดเซาะ ส่วนทางขวาจะต้องเดินขึ้นเขาสักระยะหยึ่ง ด้านบนเป็นถ้ำที่มีประตูเปิด ปิด ภายในมีพระพุทธรูปเช่นกัน


















15.00น.หนังจากเที่ยวถ้ำติ่งก็ต้องขอเข้าที่พักเพื่อเตรีมตัวขึ้นพระธาตุพูสี เพราะพระธาตุพูสีเป็นจุดหนึ่งที่ทุกคนต้องขึ้นเวลามาที่หลวงพระบาง จุดเด่นคือ สามารถชมวิวหลวงพระบางได้ทั้งเมืองและเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุด ซึ่งมีทางขึ้น 2 ทางหลัก คือ ด้านหน้าบริเวณถนนคนเดินและด้านหลังถนนเลียบแม่น้ำแต่สามารถขึ้นด้านข้างได้ด้วย ส่วนตัวผมขึ้นด้านหลังเพราะว่าติดที่พักและเดินขึ้นใกล้ที่สุด ที่พระธาตุพูสีต้องซื้อบัตรเข้าชมเช่นกัน อยู่ที่ 20,000 กีบ 


ค่าธรรมเนียม 20,000 กีบ


17.30น.หลังจากที่เดินขึ้นมาอย่างเหนื่อยเพราะว่าทางค่อนข้างชัน พอมาถึงจุดก็ต้องตะลึงกับคนที่มารอชมพระอาทิตย์ตก เพราะว่ามากันเยอะมาก คนที่มาเร็วๆ คือ ฝรั่ง มารอตั้งแต่บ่ายสอง บ่ายสาม เพื่อขอชมวิวพระอาทิตย์ตกด้านหน้าสุด แต่ก็ยอมรับครับว่า วิวพระอาทิตย์ตกที่นี่สวยจริง เพราะอาทิตย์ตกที่สันเขา ด้านล่างเป็นแม่น้ำทำให้แสงแดดทอประกายบนผิวน้ำ สีทองระยิบระยับ


มุมจากพระธาตุจอมพูสี


พระอาทิตย์ตก

18.45น.พอส่งพระอาทิตย์เขานอนรอบนี้ผมเดินลงด้านหน้า แต่รู้สึกว่าระยะทางการเดินจะไกลกว่าตอนขึ้น ซึ่งเป้าหมายตอนลงคือจะมาเดินเที่ยวถนนคนเดิน เพราะว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาผมดึกไปสักนิดทำให้ตลาดวายไปก่อน ถนนคนเดินคืนนี้แตกต่างจากคืนก่อนคือ มีเครปและมีสารพัดผลไม้ปั่นซึ่งขายเยอะมากและรสชาดก็อร่อยอยู่เหมือนกัน 









20.00น.ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงหลวงพระบาง น้องแสงก็ชวนล่วงหน้าว่าให้ไปกินข้าวที่บ้าน และอาหารมื้อนี้คือ สลัดหลวงพระบาง ตัวอ้นย่าง และอีกสามสี่อย่าง บอกเลยว่าอร่อย โดยเฉพาะตัวอ้นย่าง จะเนื้อเหนียวๆเคี้ยวสนุกแต่ที่ขาดไม่ได้คือหัวเสือเช่นเคย





วันที่สาม วันสุดท้ายของการเดินทาง

วันนี้ไม่มีน้องแสงนำทางต้องออกไปเผชิญโลกกว้างเองรีบตื่นนอนแต่เช้าเพราะเป้าหมายของวันนี้คือน้ำตกตาดกวางสีและเที่ยวเมือง เช่น วัดเชียงทอง บ้านเจ็ก 

7.30น.ตื่นเช้าตามปกติและแน่นอนกิจกรรมต่อมาคือ กินอาหารเช้าของโรงแรม วันนี้วันสุดท้ายของการเที่ยวหลวงพระบาง เป้าหมายหลักที่จะต้องไปคือ น้ำตกตาดกวางสี ทำธุระที่โรงแรมเสร็จประมาณ 8 โมง ก็เดินเท้าไปสี่แยกใจกลางเมืองเพื่อที่จะไปขึ้นรถจัมโบ้ ระหว่างทางบังเอิญเจอร้านขายของกิน เป็นขนมเส้น เลยแวะจัดไป 1 ชาม แล้วเดินต่อไป 




8.30น.ถึงบริเวณสี่แยกกลางเมือง จุดนี้มีกาแฟลาว ผลไม้ปั่น ขนมปังขายเยอะมากนอกจากนั้นยังมีคิวรสจัมโบ้ หลายเจ้าอีกด้วย ก่อนต่อรองราคารถจัมโบ้ก็จัดกาแฟลาวอีกหนึ่งแก้วใหญ่ๆ ส่วนการเดินทางเที่ยว บริเวณนี้มีรถจัมโบ้มาก พอเห็นเราเป็นนักท่องเที่ยวก็จะเดินมาถามว่าไปที่ไหนยังไงราคาเท่าไหร่ แนะนำว่าใจต้องแข็งหน่อย ราคาก็พอสมควร ส่วนที่เจอเองกับตัวคือ ขอราคานี้แล้วรถจะออกเลย สรุป รอคนอื่นมาจนเต็มคัน 



              


9.00น.เดินทางถึงทางเข้าน้ำตกตาดกวางสี ค่าธรรมเนียมเข้าก็ 20,000 กีบ ยืนพื้น คนขับรถให้เวลาอยู่ที่นี่ 2 ชั่วโมง พอลงลงได้ก็เริ่มเดินไปจ่ายค่าธรรมเนียมและเดินเที่ยวเพราะกลัวไม่ทันเวลา ในเขตน้ำตกตาดกวางสีมีมุมให้ถ่ายรูปเยอะพอสมควรต้องอาศัยความชิลค่อยๆถ่าย ถ่ายไปถ่ายมาแบตกล้องหมด ลำบากเลยครับทีนี้ ดีนะที่ข้างบนมีร้านกาแฟริมน้ำตกเลยจัดกาแฟไปอีกแก้วพร้อมขอชาร์ตแบต มุมของร้านกาแฟชิลดีครับ ราคากาแฟอยู่ที่ประมาณ 50-80บาทแล้วแต่ว่ากาแฟอะไร 














10.20น.ถึงน้ำตกตาดกวางสีชั้นที่เรียกได้ว่าสวยที่สุด ชั้นนี้มีคนถ่ายรูปเยอะมาก ต่างคนก็ต่างหามุมของตัวเอง แต่ขอบอกว่า ถ้ามาถึงหลวงพระบางต้องมาที่นี่ด้วย ไม่อย่างนั้นก็เหมือนกับว่าทริปการเดินทางไม่สมบูรณ์





12.00น.กลับถึงเมืองพร้อมรับข่าวดีว่ามีเวลาอยู่หลวงพระบางเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 3 ชั่วโมง จากที่ต้องเดินทางกลับตอนประมาณ 6 โมงเย็น เครื่องบินดีเลย์ ทีนี้ก็เที่ยวเมืองไหว้พระขอพร ตามวัดดังเช่นวันเชียงทอง 































17.00น.กลับไปเอากระเป๋าเพราะฝากไว้ที่โรงแรมและขึ้นรถจัมโบ้ไปสนามบิน 

17.30น. ถึงสนามบินเค้าเตอร์เซ้คอินปิด เอาแหละยังไงตกเครื่องไหม แต่เราได้รับแจ้งว่าเครื่องดีเลย์เลยเดินไปถามเจ้าหน้าที่เขาเลยมาเปิดเค้าเตอร์ให้เพราะทีแรกคิดว่าคงจะไม่มีใครมาแล้ว แอบพูดในใจ แน่ล่ะสิเพราะคนอื่นไม่รู้ว่าเครื่องดีเลย์เลยมาเร็ว ฮ่า.... ก่อนกลับคิดว่ากะจะช็อปในร้านค้าปลอดภาษี แต่ผิดหวังที่ไม่มีเพราะอยู่ในช่วงปรับปรุง แอบเซ็งนิดหน่อย 

ตลอดทริป 3 วันที่หลวงพระบาง บอกเลยว่าเป็นอะไรที่ชิลๆสบายๆไม่เร่งรีบ ใช้ชีวิตช้าๆ เป็นเมืองที่น่ารัก มีกลิ่นอายวัฒนธรรม ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว คนเดียวก็สามารถเที่ยวได้ มีความปลอดภัย สามารถเที่ยวได้ทั้งชายและหญิง ถ้าหากอยากหลีกหนีความวุ่นวายจากในเมืองแล้วละก็ หลวงพระบางก็เป็นอีกทางเลือกที่หนึ่งที่น่าสนใจแก่การมาสัมผัสด้วยตัวเอง



1 ความคิดเห็น: